"6C51" โรคติดเกมในบัญชีอาการป่วย ICD-11 ขององค์การอนามัยโลก
"6C51" คือโรคติดเกม ประกาศใช้โดยองค์การอนามัยโลกหรือ WHO
เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศเริ่มใช้งานบัญชีจำแนกทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องฉบับใหม่ "ICD-11" อย่างเป็นทางการ (International Statistical Classification of Diseases and Related Health Problems ฉบับที่ 11) ภายในบัญชีได้ระบุถึงอาการความเจ็บป่วยและสาเหตุของการเสียชีวิตทั้งหมดกว่า 17,000 รายการ มีรหัสที่เกี่ยวกับสภาวะต่างๆ ของผู้ป่วยกว่า 1.6 ล้านรายการ จากข้อมูลที่เก็บมาจากกว่า 90 ประเทศ
นิยามความหมายของโรค "6C51"
- WHO ระบุว่า 6C51 เป็นความผิดทางสุขภาพจิตรูปแบบหนึ่ง
- 6C51 นั้นมีความหมายภาษาไทยว่า อาการติดเกม หรือ Gaming Disorder
- มีรหัสย่อยคือ 6C51.0 สำหรับเกมออนไลน์ และ 6C51.1 สำหรับเกมออฟไลน์
- อาการที่ระบุว่าเป็นโรคติดเกม ผู้เป็นโรคจะต้องมีพฤติกรรมการเล่น "เกมดิจิทัล" หรือ "วิดีโอเกม" จนด้อยความสามารถในการควบคุมตัวเอง ค่อย ๆ ให้ความสำคัญต่อการเล่นเกมเหนือกว่าการทำกิจกรรมอื่น ๆ จนเกมกลายเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าเรื่องใด ๆ รวมไปถึงกิจวัตรทั้งหมด
- อาการดังกล่าวต้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง และยกระดับความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดผลกระทบในทางลบตามมาจากรูปแบบพฤติกรรมดังกล่าว โดยมีผลเสียเป็นนัยสำคัญต่อบุคลิกลักษณะเฉพาะบุคคล, ครอบครัว, สังคม, การศึกษา, การประกอบอาชีพ หรือการทำกิจกรรมและความสามารถด้านอื่น ๆ
- พฤติกรรมนี้สามารถเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งแบบซ้ำ ๆ ได้ และต้องปรากฏให้เห็นนานไม่น้อยกว่า 12 เดือน จึงจะถือว่าเป็นอาการติดเกมจริง
- ระยะเวลาดังกล่าวอาจน้อยกว่านั้นได้ หากอาการในเบื้องต้นเกิดรุนแรงมาก ๆ
การนำโรคติดเกมนี้เข้าบัญชี ICD-11 ก็เพื่อให้เกิดกระบวนการรักษาและบำบัดได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แพทย์หลาย ๆ คนมองว่าโรคติดเกมเป็นโรคที่สำคัญ ควรต้องระบุอาการดังกล่าวให้ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยส่วนมากจะพบในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ซึ่งไม่สามารถตระหนักได้ ว่าตัวเองกำลังเป็นโรคนี้อยู่ และต้องได้รับการช่วยเหลือ โรคนี้สามารถรักษาได้จากการบำบัดทางจิตวิทยา หรือในบางกรณีก็ต้องใช้ยาช่วย
การระบุโรคติดเกมเข้าบัญชี ICD-11 ยังช่วยให้สามารถกำหนดข้อกฎหมายขอบเขตของการรักษาโรคดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมและชัดเจน โดยคาดว่า คนทั่วโลกที่ชอบการเล่นเกม จะมีเพียงไม่ถึง 1% เท่านั้นที่เข้าข่ายเป็นโรคนี้
แหล่งที่มา who.int
