"แผ่นดินไหว" ต้องพร้อมรับมือ! เร่งศึกษาตำแหน่ง-แหล่งกำเนิด วิเคราะห์รอยเลื่อนในไทย
"แผ่นดินไหว" ที่แพร่และเชียงใหม่ นักวิจัยเตือนประชาชนต้องพร้อมรับมือ ลดความเสี่ยงและการสูญเสีย พร้อมเร่งศึกษาวิจัยทั้งสร้างแบบจำลองระบบธรณีแปรสัณฐานของประเทศไทย ศึกษาแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว
"แผ่นดินไหว" ที่แพร่และเชียงใหม่ นักวิจัยเตือนประชาชนต้องพร้อมรับมือ ลดความเสี่ยงและการสูญเสีย พร้อมเร่งศึกษาวิจัยทั้งสร้างแบบจำลองระบบธรณีแปรสัณฐานของประเทศไทย ศึกษาแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว
หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้รายงานว่าเกิดแผ่นดินไหวที่ประชาชนรู้สึกได้อย่างกว้างขวางในภาคเหนือถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นแผ่นดินไหวขนาด 3.7 ที่ตำบลแม่ปาน อำเภอลอง จังหวัดแพร่ เมื่อเวลา 01.39 ตามเวลาประเทศไทย
และครั้งที่ 2 แผ่นดินไหวขนาด 4.1 เวลา 04.46 ที่ตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โดยขณะนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบกำลังตรวจสอบความเสียหายของบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบนั้น
"แผ่นดินไหว จ.แพร่" เกิดจากกลุ่มรอยเลื่อนเถิน
รศ.ดร.ภาสกร ปนานนท์ นักวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า "แผ่นดินไหว แพร่" เกิดในบริเวณที่มีกลุ่มรอยเลื่อนมีพลังเถินพาดผ่าน ซึ่งเคยเกิดแผ่นดินไหวมาแล้วหลายครั้ง
เช่น แผ่นดินไหวขนาด 5.0 ที่อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ในปี 2538 และแผ่นดินไหวขนาด 2-3 ในช่วงปี 2560-2562 ที่อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ห่างจากแผ่นดินไหวปัจจุบันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 70 กิโลเมตร
"แผ่นดินไหว จ.เชียงใหม่" เกิดจากกลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา
ส่วน "แผ่นดินไหว เชียงใหม่" เกิดในบริเวณที่มีกลุ่มรอยเลื่อนแม่ทาพาดผ่าน ซึ่งมีแผ่นดินไหวมาโดยตลอดโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ แผ่นดินไหวครั้งสำคัญมีขนาด 5.1 ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่เมื่อปี 2549 สร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง
แม้ว่าแผ่นดินไหวทั้ง 2 ครั้งจะเกิดห่างกันเพียง 3 ชั่วโมง แต่ก็มีขนาดไม่ใหญ่และมีระยะทางห่างกันประมาณ 120 กิโลเมตร จึงเชื่อได้ว่าแผ่นดินไหวทั้ง 2 ตัวไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน และแผ่นดินไหวที่จังหวัดแพร่ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่กว่าที่จังหวัดเชียงใหม่
นักวิจัย ชี้ ทำนายแผ่นดินไหวล่วงหน้าไม่ได้ ปชช.ต้องพร้อมรับมือ
ทั้งนี้ รศ.ดร.ภาสกร กล่าวว่า ไม่สามารถทำนายการเกิดแผ่นดินไหวล่วงหน้าได้ ประชาชนจึงควรมีความพร้อมรับมือแผ่นดินไหวในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เรียนรู้ธรรมชาติและความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวในพื้นที่ที่อาศัย ปรับปรุงอาคารบ้านเรือนให้แข็งแรงขึ้น หรือทราบวิธีการปฏิบัติตนเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้น
เพื่อเป็นการลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินจากแผ่นดินไหว ทั้งยังจำเป็นต้องศึกษาวิจัยในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น
เร่งศึกษาประเมินความเสี่ยงแผ่นดินไหว ลดผลกระทบ
รศ.ดร.ภาสกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กำลังดำเนินงานวิจัยโครงการการสร้างแบบจำลองระบบธรณีแปรสัณฐานของประเทศไทย เพื่อประเมินสภาวะความเค้นของธรณีภาคและความเสี่ยงแผ่นดินไหว
ภายใต้ชุดโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย และโครงการการศึกษาแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวของประเทศไทย และการกำหนดตำแหน่งและประเมินผลกระทบของรอยเลื่อนที่ซ่อนตัวในเขตเมืองจากการตรวจวัดแผ่นดินไหว ซึ่งได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของการเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย
และสามารถนำผลการศึกษาเป็นข้อมูลสำคัญในการรับมือและลดผลกระทบจากแผ่นดินไหวของประเทศไทยต่อไปในอนาคต
ฝั่งตะวันตกของไทย มีรอยเลื่อนพลังมาก ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวได้รุนแรงถึง 7 ริกเตอร์
ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระบุว่า ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยตั้งแต่จังหวัดแม่ฮ่องสอนลงมามีรอยเลื่อนที่มีพลังมาก แม้จะสะสมพลังงานช้า แต่มีศักยภาพทำให้สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้สูงถึง 7 ริกเตอร์
คณะวิจัยจึงได้นำข้อมูลมาแปลงเป็นแผนที่เสี่ยงภัยเพื่อหามาตรการรองรับที่เหมาะสม เช่น ออกแบบอาคารให้ต้านทานแผ่นดินไหว จำกัดพื้นที่ควบคุม 10 จังหวัดตั้งแต่อาคาร 3 ชั้นขึ้นไป บังคับใช้อาคารสาธารณะ อาคารสำคัญ อาคารเก็บวัสดุอันตราย และอาคารทั่วไปที่สูงเกิน 15 เมตร
หลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาด 6.3 ที่จังหวัดเชียงรายเมื่อปี 2557 เป็นเหตุให้อาคารถล่มกว่าหมื่นหลังทั้งบ้าน วัด โรงเรียน คณะวิจัยได้เข้าไปเสริมกำลังด้วยโครงสร้างเหล็กให้โรงเรียนนำร่อง 7 โรงเรียน
ใช้งบประมาณ 1 ใน 7 ของการสร้างใหม่ ภายใต้ความร่วมมือของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของไทย รวมทั้งมหาวิทยาลัยนานยาง ประเทศสิงคโปร์ และหน่วยงานของไต้หวัน
เร่งพัฒนาระบบ ประเมินความปลอดภัยอาคาร ให้เกิดความมั่นใจ
ด้าน รศ.ดร.ธีรพันธ์ อรธรรมรัตน์ นักวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า แผ่นดินไหวที่จังหวัดเชียงใหม่มีระยะทางห่างจากอาคารโรงพยาบาลในเขตอำเภอเมืองประมาณ 15 กิโลเมตร
จากการวิเคราะห์สัญญาณการโยกตัวของอาคารที่ตรวจวัดได้จากอุปกรณ์ราคาประหยัด ซึ่งคณะวิจัยได้ติดตั้งไว้ภายในอาคารโรงพยาบาล พบว่าค่าความเร่งที่ตรวจวัดได้บ่งชี้ว่า อาคารมีการสั่นสะเทือนที่มีความรุนแรงพอที่ประชาชนที่อยู่ในอาคารอาจจะรู้สึกการสั่นสะเทือนได้ แต่ยังไม่ถึงระดับที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่อาคารได้
ทั้งนี้ คณะทีมวิจัยพยายามพัฒนาระบบที่สามารถประเมินความปลอดภัยของอาคารสำหรับการให้ข้อมูลผู้ใช้งานอาคารเกิดความมั่นใจ และสามารถใช้งานอาคารได้ทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ภัยแผ่นดินไหว
โครงการวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในโครงการ "การปรับปรุงข้อมูลคุณสมบัติเชิงพลศาสตร์ของอาคาร และการพัฒนาระบบตรวจสอบสมรรถนะของโครงสร้างแบบระยะยาว ซึ่งมี ศ.ดร.นคร ภู่วโรดม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหัวหน้าโครงการ
ข้อมูลและภาพจาก
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ภาพปกโดย Getty Images