Russia-Ukraine War : รัฐบาลยูเครนเตือน “วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม” หลังกองทัพรัสเซียยึดพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลไว้ได้

Russia-Ukraine War: รัฐบาลยูเครนเตือน “วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม” หลังกองทัพรัสเซียยึดพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลไว้ได้

เขตยกเว้นเชอร์โนบิล มีรัศมี 32 กิโลเมตรโดยรอบโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล ซึ่งนับแต่เกิดการระเบิดของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ จนก่อให้เกิดวิกฤตนิวเคลียร์ครั้งใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อปี 1986 พื้นที่เขตนี้ก็ร้างคนมาโดยตลอด

ส่วนเตาปฏิกรณ์ 3 เตาของโรงไฟฟ้า ได้ปิดการใช้งานมาตั้งแต่ปี 2000 และปัจจุบัน ยุติการใช้งานโดยสมบูรณ์แล้ว

แม้จะยังมีสารกัมมันตภาพรังสีปนเปื้อนในพื้นที่อยู่ แต่เชอร์โนบิล ก็เริ่มเปิดให้ผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมได้ โดยเฉพาะหลังมินิซีรีส์ ทางช่อง HBO ในปี 2019

รัฐบาลยูเครนรายงานว่า กองทัพรัสเซียได้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตยกเว้น และบุกยึดโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล รวมถึงจับเจ้าหน้าที่โรงไฟฟ้าเป็นตัวประกัน เพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นสำหรับบุกตีกรุงเคียฟต่อไป โดยโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล อยู่ห่างจากกรุงเคียฟไปทางเหนือ 130 กิโลเมตร

แคลร์ คอร์คฮิล ศาสตราจารย์ด้านวัตถุกัมมันตภาพรังสี จากมหาวิทยาลัยแห่งเชฟฟิลด์ในสหราชอาณาจักร เตือนว่า กระบวนการรื้อถอนนิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล ยังไม่เสร็จสิ้น

ดังนั้น การบุกยึดของกองทัพรัสเซียอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการที่ละเอียดอ่อน และอาจทำให้การรื้อถอนนิวเคลียร์ ล่าช้าไปอีกหลายสิบปี จนกลายเป็นความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมได้

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางคนมองว่า การยึดเชอร์โนบิลได้ ถือเป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ของปูติน เพราะสหภาพโซเวียตเอง ก็ล่มสลายเพียงไม่กี่ปี หลังเกิดวิกฤตเชอร์โนบิล