รัสเซียพบ “โควิดเดลตาพลัส” หวั่นระบาดแทนที่สายพันธุ์เดิม!
รัสเซีย รายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์เดลตา “AY4.2 หรือ เดลตาพลัส” อาจเข้ามาแทนที่สายพันธุ์เดิม
วันนี้( 22 ต.ค.64) คามิล คาฟีซอฟ นักวิจัยอาวุโสของหน่วยงายเฝ้าระวังผู้บริโภคของรัสเซีย แถลง ไวรัสสายพันธุ์ย่อย “AY4.2” หรือ “เดลตาพลัส” อาจมีความรุนแรงระบาดง่ายและรวดเร็วมากกว่าเดลตาสายพันธุ์เดิมประมาณร้อยละ 10 โดยเดลตาสายพันธุ์เดิม ระบาดอยู่ในรัสเซียทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันพุ่งสูงทำสถิติต่อเนื่อง และสายพันธุ์ “AY4.2” อาจเข้ามาแทนที่ได้
อย่างไรก็ตาม คาฟีซอฟ บอกว่า น่าจะเป็นกระบวนการที่เป็นไปอย่างช้าๆ และวัคซีนมีประสิทธิภาพเพียงพอในการต่อต้านไวรัสสายพันธุ์ย่อยนี้ ซึ่งไม่ได้แตกต่างกันมากจนไปเปลี่ยนแปลงความสามารถของแอนติบอดี
นอกจากนี้ ไวรัสสายพันธุ์ “AY4.2” ยังพบอันตรายมากขึ้นในอังกฤษ และพบว่ามีผู้ติดเชื้อแล้วประมาณร้อยละ 6 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด
นิโคเลย์ ครุชคอฟ นักภูมิคุ้มกันวิทยาของรัสเซีย กล่าวว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา และสายพันธุ์ย่อยเดลตาพลัส จะยังเป็นสายพันธุ์หลักและอาจปรับตัวต่อต้านวัคซีนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอัตราการฉีดวัคซีนต่ำกว่า หรือแค่ร้อยละ 50
ส่วนสถานการณ์การระบาดของโควิดในรัสเซีย ล่าสุดรายงานในวันพฤหัสบดีว่า มีผู้เสียชีวิตทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ 1,036 รายในรอบ 24 ชั่วโมงและติดเชื้อรายใหม่ 36,339 ราย ซึ่งรัสเซียต้องใช้มาตรการคุมเข้มด้านสาธารณสุขอีกครั้ง โดยเซอร์เก ซอบยานิน นายกเทศมนตรีกรุงมอสโก ประกาศให้คนอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน “พักอยู่กับบ้าน” นาน 4 เดือน และรัฐบาลก็อนุมัติให้ปิดสถานที่ทำงาน 1 สัปดาห์ 30 ตุลาคม ถึง 7 พฤศจิกายน เพื่อควบคุมการระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัส
กรุงมอสโก เมืองหลวงรัสเซีย รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ อยู่ที่ 7,897 ราย และกรุงมอสโกจะใช้มาตรการจำกัดพื้นที่อีกครั้งจากวันที่ 28 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป อนุญาตให้เปิดได้เฉพาะซูเปอร์มาเก็ต และร้านขายยาเท่านั้น
นอกจากนี้โรงเรียน และโรงเรียนอนุบาล จะปิดทำการเช่นกัน ส่วนบาร์ และร้านอาหาร เปิดให้บริการได้ แต่ให้ซื้อกลับบ้าน หรือสั่งทางเดลิเวอรี มาตรการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการป้องกันอย่างเร่งด่วน เนื่องจากผู้ติดโควิดและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งทำเนียบเครมลินระบุว่า เป็นเพราะอัตราการฉีดวัคซีนต่ำและเริ่มส่งผลให้โรงพยาบาลหลายแห่งเผชิญกับความตึงเครียดแล้ว
ภาพจาก AFP