

สรุปข่าว
มองเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่จริง ๆ เมื่อปลายปี 2023 ยูเนสโก เพิ่งจะประกาศให้ “สงกรานต์” เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของ “ไทย” ไปหมาด ๆ
แน่นอน ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่กัมพูชามีท่าทีประมาณนี้ ย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน ก็มีประเด็น “กุนขแมร์” ที่พวกเขาเคลมว่าเก่าแก่และทรงคุณค่ากว่า “มวยไทย” หลายขุม ถึงขนาดใช้เป็นชื่อทางการ แทนมวยไทย ในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2023 เลยทีเดียว
กระนั้น คำถามที่น่าสนใจตามมา นั่นคือ ในดินแดนแถบ “คาบสมุทรอินโดจีน” อย่าง ไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา ต่างมี “ลักษณะทางวัฒนธรรม” ที่มีรอยทางมา “ใกล้เคียงกันหรือแทบจะแยกกันไม่ออก” แต่แล้วเหตุใด จึงมีการ “เคลม” กันว่า วัฒนธรรมนี้เป็นของเรา เราเป็นต้นกำเนิด อยู่บ่อยครั้ง
ลองพิจารณาผ่าน “ประวัติศาสตร์รัฐชาติ” อาจพบคำตอบ
มีอัตลักษณ์ = มีตัวตน
ต้องเข้าใจก่อนว่า วัฒนธรรมที่สั่งสมมาในดินแดนแถบคาบสมุทรอินโดจีนแห่งนี้ ก่อนหน้านั้น ที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร เป็นเพราะว่ายังไม่ได้มีแนวคิดเรื่อง “การแบ่งเป็นรัฐชาติ” เฉกเช่นปัจจุบัน
อย่าลืมว่า ในปัจจุบันนี้ ที่เราสามารถ “แบ่งแยก” ว่าใครเป็นพวกเรา ใครไม่ใช่พวกเรา เรากระทำด้วยวิธีคิดแบบ “รัฐชาติ” ทั้งสิ้น อาทิ เราทราบว่าใครเป็น “ไทย” ใครเป็น “ลาว” ได้อย่างอัตโนมัติ ทั้งที่ “หน้าตา” ก็แทบจะเหมือนกันทั้งกระบิ
ตรงนี้ เป็นผลมาจากรัฐชาติ ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสมัยใหม่ อย่างน้อย ๆ ก็ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 หลังสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย และได้ทำให้แต่เดิมในอดีต วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ “เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ” อาทิ ประเพณีสงกรานต์ที่อาณาจักรทวารวดี อาจจะมีลักษณะที่ไม่ได้แตกต่างกันกับอาณาจักรรามัญ หรืออาณาจักรเจนละน้ำ เลยก็ได้
รัฐชาตินั้นมาพร้อมกับ “เส้นพรมแดนกาย” คือการขีดเส้นสมมุติ แบ่งเป็นประเทศต่าง ๆ ขึ้น อย่างในแผนที่ แต่ต้องมี “เส้นพรมแดนใจ” คือผู้คนต้องระลึกอยู่เสมอว่า ห้ามข้ามเส้นนี้ไป ข้ามไปคือความ “เป็นอื่น” ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อน ที่อาณาจักรต่าง ๆ นั้น สามารถ “ยืดหดได้” ตามแต่ความสามารถในการรบของ “ผู้นำ”
ต้องไม่ลืมว่า ความพิเศษของดินแดนแถบนี้ ในอดีตนั้น ผู้นำไม่ได้รบเพื่ออยากได้ “ที่ดิน” เพราะเป็นพื้นที่ “อุดมสมบูรณ์” ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แทบทุกหนแห่ง แต่เป็นการรบเพื่อให้ได้มาซึ่ง “ประชากร” โดยจะมีการกวาดต้อนผู้คนเข้าไปรับใช้ ไปทำกสิกรรม หรือเป็นทหาร จึงไม่น่าแปลกใจ ที่วัฒนธรรมในดินแดนแถบนี้ จะมีการ “ไปเรื่อยไปเปื่อย” อย่างมาก
ซึ่งแตกต่างจากดินแดนคาบสมุทรเกาหลี ที่ผู้นำรบเพื่อ “ครอบครองที่ดิน” เพื่อทำการเกษตร ส่วนมากจะอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำยาลู [กรุงเปียงยาง ณ ปัจจุบัน] เพราะส่วนมากเป็นที่ราบสูง มีแต่เทือกเขา และหนาวยาวนาน การกวาดต้อนผู้คนจึงไม่ค่อยสำคัญ วัฒนธรรมเลย “สถิตย์เฉพาะที่” อยู่ไม่น้อย
ดังนั้น การมีเส้นพรมแดนกาย-ใจ ที่แยกความเป็นเขา-เรา ย่อมหมายความว่า “อัตลักษณ์ประจำตน” ก็จะต้องมีตามมา เพื่อให้เกิด “การระบุตัวตน (Identify)” ได้ว่า รัฐชาติเรานั้น “แตกต่าง” ไปจากพวกอื่น ๆ เพื่อให้นานาอารยประเทศ “Recognised” ได้ว่า เรานั้น “ยืนหนึ่ง” ในด้านนี้ ๆ
ตรงนี้ จึงเป็นปัญหา โดยเฉพาะ รัฐชาติที่เกิดขึ้นมาโดยที่ “มีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน” อย่างในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีน เพราะไม่ว่ารัฐชาตินั้น ๆ ต้องการที่จะ “หยิบยก” สิ่งใดก็ตามที่เป็นเรื่องทางวัฒนธรรม “ความยูนีค” ที่ต้องการจะทำให้เกิด ย่อมเป็นไปได้ยากยิ่ง มักจะมี “เพื่อนบ้าน” เข้ามาขัดแย้งเสมอ
“ความกังวล” ด้านอัตลักษณ์
เมื่อมาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของแนวคิดรัฐชาติ ที่มาพร้อมเส้นพรมแดนกาย-ใจ ที่แยกเขา-เรา ย่อมทำให้ต้องเกิดการแสวงหาการระบุตัวตนของประเทศนั้น ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างให้เกิดการระลึกถึงได้
แน่นอน การสร้างการระบุตัวตน ไม่จำเป็นที่จะต้อง “สร้างความแตกต่างโดยสิ้นเชิง” ก็สามารถที่จะทำให้เกิดการระลึกถึงได้ อย่างกรณีของ “ประเทศอดีตยูโกสลาเวีย” ที่แยกออกมา แต่ก็มีความใกล้เคียงกันทางวัฒนธรรมอย่างมาก อาทิ โครเอเชีย และเซอร์เบีย นานาอารยประเทศก็สามารถที่จะแยกออกได้
กระนั้น คำถามที่ตามมา นั่นคือ เหตุใด “กัมพูชา” จึงดู “เป็นเดือดเป็นร้อน” กับเรื่องการระบุตัวตนอย่างมาก ทั้งที่กลุ่มประเทศอินโดจีนนั้น แยกให้ขาดจากกันด้วยวัฒนธรรมยากมาก ๆ
นั่นอาจเป็นเพราะ กัมพูชานั้นเกิดความรู้สึก “กังวล (Anxious)” จากการที่ไม่สามารถจะ “วัดรอยเท้า” ความยิ่งใหญ่ได้เทียบเท่ากับ “อาณาจักรขอม” ที่เคยยิ่งใหญ่ถึงขีดสุดเมื่อครั้งอดีต กลับกัน บรรดารัฐชาติประเทศเพื่อนบ้าน ที่เคยเป็นรอง กลับ “รุดหน้า” ขึ้นมาอย่างมาก มากเสียจนสามารถที่จะ “ชูอัตลักษณ์” ที่แชร์ร่วมกันในดินแดนแถบนี้ ไปสร้างการระบุตัวตนของตนได้
ดังนั้น การเล่นนโยบาย “เชิงรุก” ที่ “เพลย์เซฟที่สุด” หนีไม่พ้น การเคลมเรื่องทางวัฒนธรรมซึ่งมีมาร่วมกัน และทำให้สากลโลกเห็นว่า กัมพูชาสามารถที่จะ “ต่อกร” กับเพื่อนบ้านได้ ไม่แพ้ชาติใดในโลก ดีกว่าการจะประกาศสงครามเป็นไหน ๆ
ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องการเคลมวัฒนธรรม แท้จริง อาจ “ไม่เป็นประเด็น” เลยก็ได้ หากผู้คน “เกิดความตระหนัก” ได้ว่า วัฒนธรรมนั้น เป็นเรื่องของการ “ปฏิสัมพันธ์” ต่อกันและกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน เสียจนขัดเกลาออกมาเป็นสิ่งที่เป็นอยู่
หรือก็คือ หากไม่มี “เขา” วัฒนธรรมที่ระบุตัวตนของ “เรา” ย่อมไม่อาจที่จะเกิดขึ้นได้เป็นแน่แท้
แหล่งอ้างอิง
- หนังสือ Ontological Security and Status-Seeking: Thailand’s Proactive Behaviours During the Second World War
- บทความ Self, Identity, and the Search for Ontological Security
- บทความ Engaging the narrative in ontological (in)security theory
- บทความ Ontological security, the struggle for recognition, and the maintenance of security communities
- บทความ Anxiety, fear, and ontological security in world politics: thinking with and beyond Giddens
- https://www.bangkokbiznews.com/world/1120512
ที่มาข้อมูล : -