
หุ้นรับอานิสงส์เต็มๆ จากโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” โดยเฉพาะหุ้นโรงแรม (CENTEL, MINT, ERW) ที่ได้แรงหนุนจากยอดจองห้องพักที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม ขณะเดียวกันบรรยากาศการเดินทางภายในประเทศที่คึกคัก ยังช่วยหนุนกลุ่มสายการบิน ร้านอาหาร และค้าปลีกให้ได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย สะท้อนถึงเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและโอกาสฟื้นตัวของหุ้น Domestic Play ในช่วงครึ่งปีหลัง.
วันนี้เราหยิบ บทวิเคราะห์หุ้นที่หน้าสนใจขิง บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าโครงการกระตุ้นท่องเที่ยว 7 โครงการ ฝ่ายวิจัยมองเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว
โดยคาดว่าจะช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวให้เพิ่มขึ้นได้จากการทำการตลาดที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะยิ่งช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะในช่วง Golden Week ของจีน (1–7 ต.ค. 2568)
ขณะที่ฝ่ายวิจัยยังคงคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนปี 2568 จะอยู่ที่ 5 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนที่ 6.7 ล้านคน โดยยังคาดว่านักท่องเที่ยวจีนมีโอกาสกลับมาได้ในช่วงไตรมาส 4/2568 เนื่องจากจากสถิติที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนจะใช้เวลาในการฟื้นตัว โดยจะกลับมาเที่ยวไทยได้หลังมีเหตุการณ์ไม่ดีราว 6 เดือน
โดยหุ้นที่จะได้รับประโยชน์มาก >> น้อย เรียงตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนและรายได้ในประเทศ จากมาก >> น้อย คือ ERW, CENTEL, MINT และ SHR โดยฝ่ายวิจัยแนำนำ เช่น ERW ( ถือ / ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท) , CENTEL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 29.00 บาท) จะได้ sentiment เชิงบวกจากประเด็นนี้มากที่สุด
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” โดย Top pick ของกลุ่ม เลือก CENTEL, MINT
สรุปข่าว
หุ้นรับอานิสงส์เต็มๆ จากโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” โดยเฉพาะหุ้นโรงแรม (CENTEL, MINT, ERW) ที่ได้แรงหนุนจากยอดจองห้องพักที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม ขณะเดียวกันบรรยากาศการเดินทางภายในประเทศที่คึกคัก ยังช่วยหนุนกลุ่มสายการบิน ร้านอาหาร และค้าปลีกให้ได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย สะท้อนถึงเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและโอกาสฟื้นตัวของหุ้น Domestic Play ในช่วงครึ่งปีหลัง.
วันนี้เราหยิบ บทวิเคราะห์หุ้นที่หน้าสนใจขิง บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าโครงการกระตุ้นท่องเที่ยว 7 โครงการ ฝ่ายวิจัยมองเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว
โดยคาดว่าจะช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวให้เพิ่มขึ้นได้จากการทำการตลาดที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะยิ่งช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะในช่วง Golden Week ของจีน (1–7 ต.ค. 2568)
ขณะที่ฝ่ายวิจัยยังคงคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนปี 2568 จะอยู่ที่ 5 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนที่ 6.7 ล้านคน โดยยังคาดว่านักท่องเที่ยวจีนมีโอกาสกลับมาได้ในช่วงไตรมาส 4/2568 เนื่องจากจากสถิติที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนจะใช้เวลาในการฟื้นตัว โดยจะกลับมาเที่ยวไทยได้หลังมีเหตุการณ์ไม่ดีราว 6 เดือน
โดยหุ้นที่จะได้รับประโยชน์มาก >> น้อย เรียงตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนและรายได้ในประเทศ จากมาก >> น้อย คือ ERW, CENTEL, MINT และ SHR โดยฝ่ายวิจัยแนำนำ เช่น ERW ( ถือ / ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท) , CENTEL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 29.00 บาท) จะได้ sentiment เชิงบวกจากประเด็นนี้มากที่สุด
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” โดย Top pick ของกลุ่ม เลือก CENTEL, MINT
สำหรับ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL จาก valuation ซื้อขายที่ 2568E EV/EBITDA ที่ 9x (-1.75SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW ที่ 11x ขณะที่ไม่มีปัจจัย Overhang อย่าง ERW
นอกจากนี้คาดว่าแนวโน้มกำไรไตรมาสที่ 3/2568 จะฟื้นตัว QoQ ได้ตามยอด Booking ที่เพิ่มขึ้น และฟื้นตัวเด่นไตรมาสที่ 4/2568 จากการเปิดอาคารผู้โดยสารใหม่ที่สนามบินมัลดีฟส์ และนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัว
ส่วนทางด้าน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯ ซื้อขาย 2568 EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่ไตรมาสที่ 2-3 ปี 2568 จะเป็นช่วง High Season ที่ยุโรป และได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนน้อยกว่ากลุ่ม ประกอบกับที่ยุโรปเน้นนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก
ขณะที่ จากข่าว ททท. เดินหน้าโครงการกระตุ้นท่องเที่ยว 7 โครงการ โดย น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. เตรียมเดินหน้าโครงการกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2568 วงเงิน 3,960 ล้านบาท จำนวน 7 โครงการ ซึ่งจะสามารถสร้างเงินหมุนเวียน 200,507 ล้านบาท จ้างงาน 226,102 คน เกิดรายได้ที่เป็นภาษี 7,785 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง วงเงิน 1,760 ล้านบาท จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 35,033 ล้านบาท จ้างงาน 40,669 คน สร้างรายได้ด้านภาษี 1,863 ล้านบาท
- โครงการกระตุ้นตลาดต่างประเทศ วงเงิน 750 ล้านบาท สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 85,888 ล้านบาท จ้างงาน 98,005 คน เกิดรายได้ที่เป็นภาษี 3,185 ล้านบาท
- โครงการทำตลาดการท่องเที่ยวไทยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ในการเสนอขายสินค้าและบริการท่องเที่ยวปี 2568 วงเงิน 800 ล้านบาท สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 78,053 ล้านบาท จ้างงาน 85,804 คน เกิดรายได้ที่เป็นภาษี 2,682 ล้านบาท
- โครงการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นประเทศไทยเพื่อการท่องเที่ยว “ทรัสต์ไทยแลนด์” วงเงิน 300 ล้านบาท สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 581 ล้านบาท จ้างงาน 569 คน เกิดรายได้ที่เป็นภาษี 13 ล้านบาท
-แผนประชาสัมพันธ์กระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2568 วงเงิน 120 ล้านบาท สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 294 ล้านบาท จ้างงาน 164 คน เกิดรายได้ที่เป็นภาษี 10 ล้านบาท
- โครงการประชาสัมพันธ์สร้างการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ วงเงิน 80 ล้านบาท สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 188 ล้านบาท จ้างงาน 122 คน เกิดรายได้ที่เป็นภาษี 7 ล้านบาท
- โครงการกระตุ้นการใช้จ่ายและการกระจายตัวเดินทางท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว เชียงใหม่–ลำพูน วงเงิน 150 ล้านบาท
ทางด้าน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทั้งปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยอาจอยู่ที่ประมาณ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.8% ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ซึ่งต่ำกว่าที่ประเมินในช่วงต้นปี (รูปที่ 6) โดยตลาดนักท่องเที่ยวหลักที่หดตัว อาทิ จีน มาเลเซีย และเกาหลีใต้ สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจากอินเดียน่าจะยังขยายตัวได้ กรณีที่ไม่มีเหตุการณ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานเกิดขึ้นอีก
สำหรับตลาดที่มองว่ายังเติบโต หลักๆ มาจากนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป อาทิ รัสเซีย เยอรมัน ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสายการบินยุโรปมีการขยายเส้นทางการบินตรงและเพิ่มความถี่มาไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของตลาดเหล่านี้ น่าจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของตลาดสำคัญๆ โดยเฉพาะจีนได้
รายได้ท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติกระจายสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.62 ล้านล้านบาท หดตัว 3% จากปี 2567 (รูปที่ 6) สำหรับการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปอยู่ที่ประมาณ 47,000 บาทต่อคนต่อทริป หดตัวเล็กน้อยที่ 1.9% เมื่อเทียบกับปี 2562 (ก่อนโควิด) เนื่องจากกลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม Young Traveler และกลุ่มรายได้ระดับปานกลาง รวมถึงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายระมัดระวังมากขึ้นอย่างการปรับลดการซื้อของที่ระลึก การใช้บริการร้านอาหารแบบคนท้องถิ่นอย่างการเลือกร้านอาหาร Street food
ที่มาข้อมูล : บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) , ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ที่มารูปภาพ : TNN Wealth