
ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่กำลังร้อนระอุ จากการก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มาพร้อมกับนโยบายเล่มหนาที่หน้าปกเขียนว่า "American First" แปลได้ตรงตัวว่า "อเมริกาต้องมาก่อน ไม่มีอะไรสำคัญเท่าอเมริกา" ซึ่งนโยบายเล่มนี้จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ได้ถูกออกแบบมาให้เกิดความขัดแย้งทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่สร้างผลกระทบไปทั่วโลก

สรุปข่าว
โดยนโยบายต่าง ๆ ที่โดนัลด์ทรัมป์ทยอยประกาศออกมานั้นอาจจะไม่ได้เข้มข้น หรือดุดันมากนักหลังการกล่าวในพิธีสาบานตนในการเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ทำให้ทั่วโลกโล่งใจ แต่ก็ได้ไม่นานเพราะหลังจากนั้นไม่กี่วัน นโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องกำแพงภาษีที่ประกาศออกมาเริ่ม "ตรงปก" เข้มข้น และดุดัน จนจุดชนวนสงครามการค้าขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดา และเม็กซิโก 25% ที่ถึงแม้จะมีการชะลอมาตรการออกไป เพื่อเปิดทางสู่การเจรจาของทั้ง 2 ประเทศ แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้มี "วาระซ้อนเร้น" ยากที่จะคาดเดาไว่าผลที่ตามมานั้นจะเป็นอย่างไร แต่ "จีน" กลับต่างออกไป เพราะทันทีที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน จีนก็ตอบโต้ทันควัน "หมัดต่อหมัด" แต่ก็เช่นเคยเปิดทางให้เจรจา แต่ใครจะการันตีผลการพูดคุยได้
ความร้อนระอุของสงครามการค้าสั่นสะเทือนภาคการลงทุนแทบจะทุกสินทรัพย์ให้เกิดความผันผวน โดยเฉพาะ "ตลาดหุ้น" ทั่วโลก ที่เหวี่ยงขึ้นลงเหมือนรถไฟเหาะตีลังกาเป็นว่าเล่น นักลงทุนทั่วโลกเกิดอาการ "Panic" หวาดระแวงจากความเสี่ยงของการลงทุนที่ยากจะคาดเดา
ตัดภาพกลับมาที่ "หุ้นไทย" ที่สถานการณ์จากปี 2567 ที่ก็ทุลักทุเลเซไปเซมา พาดัชนี SET ปิดสิ้นปีที่ 1,400 จุดได้แบบหมดแรง "ก๊อกสุดท้าย" แต่พอย่างเท้าก้าวเข้าสู่ปี 2568 ก็ต้อเจอกับขวากหนามที่ทิ่มแทงไม่ยั้งจะหลบซ้ายก็เจ็บ จะเบี่ยงขวาก็ปวด ดัชนี SET รูดลงไปแล้วกว่า 100 จุด แค่เดือนเศษ ๆ
ต่างชาติพากันเทขายหนีตายไปแล้วตั้งแต่ปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 รวมกว่า 140,000 ล้านบาท สถาบันในประเทศก็คอพับคออ่อน เหลือแค่รายย่อยที่ยังมีความหวังว่า ดัชนีที่ลงมานั้นก็เหมือนของดีราคาถูก ยังมีแรงซื้ออยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้จะไปได้สักกี่น้ำ เพราะมูลค่าซื้อขายก็เบาบาง
เพราะข้อมูลจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน หรือ FETCO Investor Confidence Index สำรวจล่าสุดในเดือนธันวาคม 2567 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับลงมาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ที่ระดับ 78.52
โดยเมื่อมาดูในรายละเอียดแต่ละกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนทุกกลุ่มปรับลดลง โดยกลุ่มนักลงทุนบุคคล ปรับลด 15.6% อยู่ที่ระดับ 85.71 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลดลง 22.2% อยู่ที่ระดับ 70.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลดลง 34.2% อยู่ที่ระดับ 77.78 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับลดลง 43.7% อยู่ที่ระดับ 75.00
ซึ่งนักลงทุนมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการไหลเข้าของเงินทุน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ การนำเข้าส่งออกสินค้า และสถานการณ์เงินเฟ้อ
หุ้นไทย "ติดหล่ม" ไร้เสน่ห์แล้วจริงหรือไม่ ตัวเลขคงตอบคำถามได้บางส่วน แต่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็ทนน้ำลุยไฟผ่านมาแล้วทุกวิกฤติครบ 50 ปีในปีนี้ ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องคงต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และคงต้องเป็นความเชื่อมั่นที่ "พิเศษ" กว่าปกติ เพราะตอนนี้ นักลงทุนหลาย ๆ คนกำลังจะหันหลังให้การลงทุน
ที่มาข้อมูล : FETCO, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ที่มารูปภาพ : TNN