นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าต่อ เม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งนำไปสู่การเจรจาที่สองประเทศต้องยอมถอยในที่สุด สะท้อนให้เห็นว่า Trump 2.0 ใช้นโยบายกดดันทางภาษีเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรอง และเป็นไปได้สูงว่านโยบายนี้จะถูกนำมาใช้กับประเทศอื่น ๆ แม้จะเป็นประเทศพันธมิตรกับสหรัฐฯ ก็ตาม หากสหรัฐฯ มองว่าเสียเปรียบทางการค้า รวมถึงจีนที่เป็นเป้าหมายหลักในการปรับขึ้นภาษีรอบล่าสุด
ขณะนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่เริ่มแสดงให้เห็นชัดเจนต่อตลาดโลก ค่าเงินอ่อนค่าลง โดยค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนตัว หุ้นทั่วโลกปรับลดลง และตลาดการเงินเกิดความผันผวน ซึ่งสะท้อนว่าตลาดอยู่ในภาวะ Shock Reaction จากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ในมุมมองหอการค้ามองภาพเศรษฐกิจออกเป็น 3 ระยะ หลังจากนี้ คือ
1. ระยะสั้น เชื่อว่าตลาดยังคงตกใจและมีความผันผวนสูง นักลงทุนและตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงจากความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐ ส่วนค่าเงินบาทอ่อนค่าตามแนวโน้มเงินทุนไหลออกและความกังวลของนักลงทุน ด้านภาคการส่งออกของไทยในครึ่งปีแรกน่าจะยังเติบโตได้
2. ระยะกลาง คาดว่าภาคธุรกิจและตลาดการค้าจะปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะจีนอาจเร่งขยายตลาดส่งออกใหม่หรือพิจารณาย้ายฐานการผลิต ซึ่งอาจส่งผลต่อการค้าในภูมิภาคอาเซียน โดยทำให้สินค้าจากจีนหลั่งไหลเข้ามาแข่งขันในตลาดมากขึ้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ภาครัฐจำเป็นต้องกำหนดมาตรการปกป้องที่เหมาะสม เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม และรักษาสมดุลของตลาดภายในประเทศ
3. ระยะยาว มองว่าเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการค้าโลก ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าอาจนำไปสู่การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ โดยเน้นการผลิตในประเทศ (Localization) มากขึ้น ซึ่งอาจลดโอกาสของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างไทย ซึ่งไทยเองก็จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ด้านการค้า เช่น กระจายตลาดส่งออก และ เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีเพิ่มเติม เพื่อรองรับความผันผวนในอนาคต
สรุปข่าว