สายการบินเอมิเรตส์ ได้ย้ายห้องรับรองผู้โดยสาร จากอาคารหลัก (หรือ เมน เทอร์มินัล) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปยังอาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 หรือ แซต-วัน (SAT-1) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว และถือเป็นรายแรก ที่ย้ายห้องรับรองผู้โดยสาร ไปยังอาคารแห่งใหม่
คุณ โมฮัมเหม็ด อัล วาเฮดิ ผู้จัดการสายการบินเอมิเรตส์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การลงทุนปรับปรุงห้องรับรองผู้โดยสารแห่งใหม่ในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้ใช้งบกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 170 ล้านบาท แสดงถึงศักยภาพและความมุ่งมั่น ในการลงทุนต่อเนื่องในประเทศไทย
เนื่องจาก ไทย ถือเป็นตลาดที่สำคัญของบริษัทฯ นับตั้งแต่ปี 2533 ที่เข้ามาเปิดให้บริการเที่ยวบินแรก เส้นทางกรุงเทพฯ - ดูไบ จนปัจจุบัน เอมิเรตส์ ให้บริการเที่ยวบินระหว่างดูไบ และกรุงเทพฯ วันละ 5 เที่ยวบิน โดยใช้เครื่องบินแอร์บัส A380 และโบอิ้ง 777 ควบคู่ไปกับเที่ยวบินไป กลับ ภูเก็ต และ ดูไบ วันละ 2 เที่ยวบิน และเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปยังฮ่องกง วันละ 1 เที่ยวบิน
ทำให้ เอมิเรตส์ เป็นสายการบินระหว่างประเทศที่ให้บริการเครื่องบิน ที่มีความจุของผู้โดยสารมากที่สุด บนเส้นทางเข้าและออกจากกรุงเทพ และให้บริการที่นั่งชั้นหนึ่ง และชั้นธุรกิจมากกว่า 870 ที่นั่งต่อวัน ถือว่ามากที่สุดในประเทศ อีกทั้ง กรุงเทพฯ ใหญ่ เป็นอันดับ 2 ของสายการบินเอมิเรตส์ ด้วยจำนวนที่นั่งชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ ตอกย้ำถึงความนิยมในกลุ่มตลาดพรีเมียม ว่ามีความต้องการใช้บริการอย่างแข็งแกร่ง ทั้งจากนักท่องเที่ยวคนไทย ที่ชอบผจญภัย เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก และจากนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่้ต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ต้องการที่จะส่งเสริมการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจให้กับไทย ที่ถือเป็นศูนย์กลางการเดินทางที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกด้วย
สรุปข่าว
ห้องรับรองผู้โดยสารแห่งใหม่นี้ ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของอาคาร แซต-วัน (SAT-1) มีพื้นที่ครอบคลุม 1,454 ตารางเมตร และสามารถรองรับผู้โดยสารได้พร้อมกันสูงสุด 250 คน ทำให้ห้องรับรองผู้โดยสารในกรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเป็นห้องรับรองผู้โดยสารนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของเอมิเรตส์ รองจากฐานบินหลักใน ดูไบ โดย พร้อมให้บริการผู้โดยสารชั้นหนึ่ง และชั้นธุรกิจ รวมถึงสมาชิก สกายเวิร์ดส์ (Skywards) ของเอมิเรตส์ ได้พักผ่อนก่อนการเดินทาง ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนอาบน้ำ และ ไวไฟ
จากปัจจุบัน เอมิเรตส์ ให้บริการห้องรับรองผู้โดยสารอยู่ 41 แห่งทั่วโลก โดยจำนวน 7 แห่ง ตั้งอยู่ในสนามบินนานาชาติ ดูไบ และอีก 34 แห่ง อยู่ในจุดหมายปลายทางทั่วเครือข่ายของสายการบินฯ
ก่อนหน้านี้ กลุ่มบริษัทเอมิเรตส์ เปิดเผยผลประกอบการ ซึ่งสะท้อนการเติบโตของธุรกิจสายการบิน และอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก
ผลประกอบการสำหรับ 6 เดือนแรก ตามปีบัญชี 2567/2568 ของกลุ่มบริษัท เอมิเรตส์ มีกำไรก่อนหักภาษี เป็นมูลค่า 10,400 ล้านดีแรห์มสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เป็นการทำสถิติใหม่ในผลประกอบการรอบครึ่งปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และทำให้ในปีงบการเงินนี้ นับเป็นครั้งแรกที่กลุ่มบริษัทเอมิเรตส์ ต้องชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่เริ่มใช้ในปี 2566 อีกด้วย และหลังจากหักภาษีที่ร้อยละ 9 แล้ว ทำให้มีกำไรสุทธิอยูที่ 9,300 ล้านดีแรห์มสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากรายได้ในงวดครึ่งปี อยู่ที่ 70,800 ล้านดีแรห์มสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ 19,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้องถึงความต้องการของลูกค้าที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจและทุกภูมิภาค
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินและกลุ่มสายการบินเอมิเรตส์ กล่าวว่า ผลประกอบการที่ผ่านมา เป็นการสะท้อนถึงศักยภาพของโมเดลธุรกิจที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการเติบโตของดูไบ ในฐานะเมืองที่ผู้คนเลือกมาอยู่อาศัย ทำงาน ท่องเที่ยว เชื่อมต่อการเดินทาง และดำเนินธุรกิจ และความสามารถในการทำกำไรนี้ ยังทำให้บริษัทฯ สามารถลงทุนในสิ่งที่จำเป็นต้องความสำเร็จต่อเนื่อง
ซึ่งทางกลุ่มบริษัทฯ กำลังลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า รวมถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงและโครงการนวัตกรรมต่าง ๆ มาช่วยขับเคลื่อนการเติบโต
ภาพรวมการเดินทางท่องเที่ยว ของไทย และของโลก ซึ่งมีตัวเลขที่สะท้อนเติบโตดีมาก
สำหรับประเทศไทย เป็นตัวเลขการเดินทางท่องเที่ยว โดยข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยสถิติปี 2567 พบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางเข้าไทย มีจำนวนรวมกว่า 35.54 ล้านคน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 26.27 สร้างรายได้เข้าประเทศรวมกว่า 1.67 ล้านล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
เมื่อแยกตามสัญชาติ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มีจำนวนกว่า 6 ล้าน 7 แสนคน รองมาคือ มาเลเซีย จำนวน 4 ล้าน 9 แสนคน อันดับ 3 เป็นอินเดีย กว่า 2 ล้านคน อันดับ 4 เกาหลีใต้ 1 ล้าน 8 แสนคน และอันดับ 5 รัสเซีย 1 ล้าน 7 แสนคน
ส่วนภาพใหญ่ทั่วโลก เป็นรายงานจากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ ไออาต้า ที่เผยผลสรุปปี 2567 พบความต้องการด้านการขนส่งทางอากาศทั่วโลก เติบโตพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
โดย ไออาต้า รายงานว่า ปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการสร้างสถิติใหม่ และพบว่าความต้องการของผู้โดยสารทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 จากปี 2566 และสูงกว่าระดับก่อนโควิดระบาดในปี 2562 ที่ร้อยละ 3.8
แบ่งเป็นปริมาณการขนส่งระหว่างประเทศ เติบโตที่ร้อยละ 13.6 ส่วนความต้องการภายในประเทศเติบโตที่ร้อยละ 5.7 และสายการบินต่าง ๆ ตอบสนองความต้องการที่แข็งแกร่งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร ที่ร้อยละ 83.5
นอกจากนี้ พบว่า ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีประมาณการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 26
ส่วนยุโรป เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 ตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 อเมริกาเหนือ ปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 ละตินอเมริกา เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 และ แอฟริกา เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2
ก่อนหน้านี้ ไออาต้า ยังมีมุมมองในเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมการบินทั่วโลก สำหรับปี 2568 นี้อีกด้วย โดยคาดว่า อุตสาหกรรมการบินทั่วโลก จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 36,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ร้อยละ 3.6
ท่ามกลางความท้าทายของอุตสาหกรรมฯ ทั้งเรื่องของต้นทุน และประเด็นห่วงโซ่อุปทาน ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ที่มาข้อมูล : สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์
ที่มารูปภาพ : TNN