สรุปข่าว
สื่อเว็บไซต์ Business of Fashion รายงานว่าประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางค้าปลีกสินค้าหรู ท่ามกลางการลงทุนอย่างมหาศาลจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่แห่งใหม่ เช่น โครงการ วัน แบงค็อก และห้างสรรพสินค้า รวมถึงศูนย์การค้าเดิมที่มีการปรับปรุง และเร่งขยายพื้นที่กันอย่างคึกคัก เพื่อขยายฐานลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น สยามพารากอน, เกษร, ไอคอนสยาม และเซ็นทรัล เอ็มบาสซี เป็นต้น
ซึ่งรวมถึงเป้าหมาย ในการเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว โดยประเทศไทย มีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และปี 2568 ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 40 ล้านคน หวังจะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวมูลค่ากว่า 3.4 ล้านล้านบาท
สื่อดังกล่าว รายงานอีกว่า ตลาดสินค้าหรูในไทยกำลังเฟื่องฟู ข้อมูลจาก Euromonitor International คาดการณ์ว่า ตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยส่วนบุคคลของไทย ในปี 2567 จะมีมูลค่าการขายปลีกสูงถึง 83,800 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นด้วยอัตราการเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยต่อปี ที่ร้อยละ 9 ไปจนถึงปี 2572 ที่คาดว่าจะมีมูลค่าการขายปลีกจำนวน 128,000 ล้านบาท
โดยนักท่องเที่ยวจากหลายสัญชาติ ถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดสินค้าหรูของไทย นักท่องเที่ยวจากจีน อาหรับ อินเดีย และรัสเซีย มีบทบาทสำคัญอย่างมาก รวมถึงนักชอปจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง กัมพูชา ลาว และเวียดนาม
แม้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเป็นส่วนขับเคลื่อนสำคัญ แต่อุปสงค์ภายในประเทศเอง ก็เติบโตอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน โดยเป็นความต้องการที่มาจากคนไทยที่มีฐานะร่ำรวย และชาวต่างชาติที่ทำงานในบริษัทข้ามชาติ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ
รายงานดังกล่าว ระบุว่า กลุ่มประชากรที่มีสินทรัพย์สุทธิส่วนบุคคลสูง หรือที่เรียกว่ากลุ่ม Ultra-high-net-worth individuals-UHNWI มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ซึ่งตามข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ Knight Frank คาดการณ์ว่า ประชากรกลุ่มนี้ ซึ่งถูกกำหนดด้วยการถือครองทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวมเกิน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,000 กว่าล้านบาทขึ้นไป) จะเพิ่มขึ้นราว ร้อยละ 14.7 ภายในปี 2571 อยู่อันดับที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และอินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในอาเซียน
อเล็กซ์ แอนตัน (Alex Anton) ผู้ร่วมก่อตั้ง ทู-ไทมส์ (2-Times) ร้านค้าปลีกสินค้าหรูออนไลน์ที่เน้นเฉพาะลูกค้ารับเชิญเท่านั้น รวมถึงบริการชอปปิงส่วนตัว ตามงานอีเวนต์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ให้ความเห็นว่า เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ที่ประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการรองรับกลุ่มบุคคลมั่งคั่งสูงด้วยห้างสรรพสินค้าระดับโลก และกลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมและการมองเห็นในระดับโลก รวมถึงการการเติบโตของแพลตฟอร์มดิจิทัล ก็ส่งผลให้ความต้องการสินค้าหรูโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ทู-ไทมส์ มีความเชี่ยวชาญในพื้นที่ซึ่งครอบคลุม ไทย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และจีน สำหรับลูกค้าในฮ่องกง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย แอนตัน บอกว่า ปีนี้ พบยอดขายจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35 จากปีก่อน โดย ไทย มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด ด้วยยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 และสิงคโปร์ อยู่อันดับ 2 เติบโตขึ้นร้อยละ 10 (*ไทย เติบโตสูงกว่า สิงคโปร์)
ด้าน หมิง ยี่ หลาย (MingYii Lai) ผู้จัดการฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้าเสวี่ย คอนซัลติง (Daxue Consulting) กล่าวว่า ผู้บริหารหญิง เป็นกลุ่มที่ช่วยขับเคลื่อนยอดขายสินค้าเครื่องประดับและนาฬิกาหรู สินค้าเหล่านี้ ถูกมองเป็นเครื่องช่วยเสริมด้านบุคลิกภาพ และความเป็นอิสระทางการเงินที่มากขึ้น และยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างกว้าง ที่ผู้หญิงต่างก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน ในการตัดสินใจซื้อสินค้าอีกด้วย
สำหรับโครงการค้าปลีกหลายแห่งที่ถูกพูดถึง ว่ากำลังแข่งขันกันดึงดูดนักชอปทั้งคนไทยและต่างชาติ
เริ่มที่ วัน แบงค็อก (One Bangkok) เปิดตัวโครงการเฟสที่ 1 ไปเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ร้านค้าปลีกที่เปิดให้บริการในระยะแรก เช่น Club 21 ที่จำหน่ายสินค้าหรูจากแบรนด์ JW Anderson รวมถึง Jacquemus, Moncler และ Comme des Garçons ส่วนร้านแบรนด์เดี่ยว ๆ ก็มีที่เป็นแบรนด์ไทยเองด้วย เช่น Jim Thompson, Ravipa
และในช่วงปี 2568 มีแผนจะเปิดตัว โพสต์ 1928 ถนนสายชอปปิงสุดหรู สายแรกของกรุงเทพฯ ที่จะรวบรวมร้านค้าแฟล็กชิพสโตร์แบรนด์ดังระดับโลกมาในรูปแบบสแตนอะโลน
สำหรับ สยามพารากอน ของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ได้เปิดตัวแฟล็กชิพสโตร์ใหม่อีกหลายแห่ง รวมถึงร้านคอนเซ็ปต์ของ Dolce & Gabbana แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ร้านคอนเซ็ปต์ใหม่ล่าสุดของ Gucci และ Casablanca ที่เปิดตัวสาขาแรกในไทย
นอกจากนี้ยังเปิดบูติกหรู หรือชอปแห่งใหม่ 20 แห่งในปีนี้ ซึ่งรวมถึง Chaumet และ Ami Paris เมื่อปีที่แล้ว ได้เปิดบูติคสุดหรู 35 แห่งทั่วทั้งสยามพารากอน และ ไอคอน สยาม ซึ่งการเปิดตัวที่สำคัญ เช่น การเปิดชอปของ Loro Piana ครั้งแรกในไทย และชอปเสื้อผ้าบุรุษแห่งแรกจากแบรนด์ Louis Vuitton และ Fendi
และที่ ศูนย์การค้าเกษรอมรินทร์ เมื่อต้นปี หลุยส์ วิตตอง เปิดให้บริการ LV The Place Bangkok ซึ่งมีพื้นที่รวม 2 ชั้น และเป็นที่ตั้งของร้านอาหารแห่งแรกของแบรนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจับมือร่วมกับเชฟชื่อดังชาวอินเดีย อย่าง Gaggan Anand
นอกจากนี้ ยังมี เอ็ม ดิสทริคต์ (EM district) ประกอบไปด้วย เอ็ม สเฟียร์ ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว และยังมี เอ็มโพเรียม และ เอ็มควอเทียร์ ที่ล้วนต่างก็มีร้านค้าแบรนด์หรูมากมาย และชอปใหม่ที่กำลังจะเปิดในย่านนี้ เช่น Ami แห่งแรกในไทย, Gentle Monster ที่มีหน้าร้านแห่งแรก และ ชอป Cartier ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ด้าน เซ็นทรัล รีเทล มีการลงทุนด้วยมูลค่า 4,000 ล้านบาท ในการแปลงโฉมห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล ชิดลม ให้เป็นแหล่งชอปปิงสำหรับลูกค้าจากทั่วโลกเพื่อแสวงหาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร โดยจะมีสินค้าแบรนด์หรู อาทิ Chanel, Louis Vuitton, Gucci และแบรนด์หรูอื่น ๆ มากมาย มารวมในพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร
และไม่เฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น แบรนด์หรู ยังมีการตอบสนองรูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปอีกด้วย โดยการมีบินตรงระหว่างประเทศไปยังจังหวัดท่องเที่ยวอื่น ๆ ของไทยมากขึ้น ทำให้แบรนด์หรู มุ่งตอบสนองในแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทาง เช่น ภูเก็ต และ สมุย เช่น Prada ที่กำลังเปิดชอปแห่งแรกที่ภูเก็ต
อย่างไรก็ตาม แหล่งท่องเที่ยว ไม่ใส่สิ่งเดียวที่จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปใช้จ่ายในพื้นที่ค้าปลีกสินค้าหรู แต่การมีคนดังชาวไทย ที่ได้รับความนิยมในระดับโลกเพิ่มขึ้น ก็ทำให้ร้านค้าปลีกระดับลักชัวรีได้รับแรงสนับสนุนที่ดีขึ้นด้วย
เช่น ลิซ่า - ลลิษา มโนบาล แห่งวง Blackpink ได้รับการประกาศให้เป็นศิลปินหลักในงาน Amazing Thailand Countdown 2025 ที่ศูนย์การค้า ไอคอนสยาม โดยงานดังกล่าวมีเป้าหมายดึงดูดผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 20 ล้านคน ทั้งแบบมาด้วยตนเองและผ่านการถ่ายทอดสด
นอกจากนี้ ดาราไทยอีกหลายคน ยังเป็นแรงผลักดันยอดขายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นให้กับแบรนด์ที่ต้องการดึงดูดลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เกี่ยวกับประเด็นนี้ แอนตัน ผู้บริหารจาก ทู-ไทมส์ บอกว่า ลูกค้ารายสำคัญของทางแพลตฟอร์มสำหรับประเทศไทย ได้รับอิทธิพลเกือบทั้งหมดจากการรับรองแบรนด์โดย ดารา และแบรนด์ แอมบาสเดอร์ พร้อมยกตัวอย่างถึง นรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์ หรือ เจมิไนน์ และ พีพี - กฤษฏ์ อำนวยเดชกร และแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา คือ Louis Vuitton และ Balenciaga ตามลำดับ
สำหรับศิลปิน เค ป๊อป ชาวไทย นอกจาก ลิซ่า แล้วยังมี แบม แบม แห่งวง Got7 ที่เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ให้กับ Louis Vuitton ส่วน มินนี่ แห่งวง จี-ไอเดิลก็มีข่าวเชื่อมโยงกับแบรนด์ Miu Miu
แอนตัน กล่าวเสริมว่า การใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของดาราไทย และฐานแฟนคลับที่ชื่นชอบพวกเขา ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายของสินค้าหรูรุ่น ลิมิเต็ด เอดิชันได้อย่างมาก โดยมักจะได้รับความนิยมมากกว่าคอนเลคชันตามฤดูกาล
ขณะเดียวกัน ความนิยมของซีรีส์ และภาพยนตร์ไทย ในภูมิภาคเอเชียที่มากขึ้น ก็ยังกระตุ้นให้แบรนด์ต่าง ๆ เลือกแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่เป็นคนไทยกันมากขึ้นด้วย เช่น Dior Homme และ Piaget เซ็นสัญญากับ อาโป - ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ นักแสดงและนายแบบชาวไทย
ส่วน ใหม่ - ดาวิกา โฮร์เน่ ได้รับตำแหน่งแอมบาสเดอร์จาก Gucci และ Bulgari ใบเฟิร์น - พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ก็ร่วมงานกับ Loewe และ ไบร์ท - วชิรวิชญ์ ชีวอารี ก็ได้รับเลือกจาก Burberry และ Calvin Klein เป็นต้น
ที่มาข้อมูล : -