สรุปข่าว
บริษัทที่ปรึกษา เรดเซียร์ สตราทีจี คอนซัลแทนต์ส (Redseer Strategy Consultants) ออกรายงานเกี่ยวกับ ธุรกิจบริการ ออน-ดีมานด์ (On-demand) หรือธุรกิจนำเสนอบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ในประเทศไทย และเน้นไปที่ 2 ธุรกิจ คือ ฟูด ดิลิเวอรี และ บริการเรียกรถโดยสาร ซึ่งมีขนาดของตลาดรวมกันประมาณ 5,000 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ
รายงานดังกล่าวระบุว่า ทั้ง 2 ธุรกิจ มีปัจจัยผลักดันการเติบโตที่ยั่งยืน จากการที่ ไทย เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ เป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแง่ของ จีดีพี ครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (หรือประมาณ 169,000 บาทต่อปี) มีจำนวนมากกว่า 19 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 90 ของครัวเรือนไทยทั้งหมด
สะท้อนให้เห็นว่า ไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางที่แข็งแกร่ง ที่จะสร้างการเติบโตให้กับภาคส่วนออนไลน์ ขณะเดียวกัน อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตก็อยู่ในระดับสูง ที่ร้อยละ 88 เป็นอันดับ 3 รองจาก สิงคโปร์ และมาเลเซีย
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า ธุรกิจ ฟูด ดิลิเวอรี ของไทย มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง จากปี 2019 มีมูลค่าธุรกิจอยู่ที่ 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 141,000 ล้านบาท ในปี 2023 ที่ผ่านมา และในอีก 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ไปจนถึงปี 2028 จะมีมูลค่าธุรกิจอยู่ที่ 7,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือประมาณ 239,000 ล้านบาท)
การเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากปัจจัยทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ไม่ว่าจะเป็น การขยายตัวของเมือง, วิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป, การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ และมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงการจัดส่งก็มีความสะดวกและรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอข้อมูลของผู้เล่นในตลาด โดยพบว่าเป็นการแข่งขันกันของ 2 รายใหญ่ คือ Grab (แกร็บ) และ LINE MAN (ไลน์ แมน) ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก ของปีนี้ พบว่า ไลน์แมน มีส่วนแบ่งตลาด เบียดแซง แกร็บ ได้เป็นครั้งแรก (นับตั้งแต่ปี 2019 ที่มีการนำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบ) โดยไลน์แมน มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด ในแง่ปริมาณการใช้บริการ อยู่ที่ร้อยละ 44 ส่วน แกร็บ มีส่วนแบ่งตลาดลดลง อยู่ที่ร้อยละ 40
โดยไลน์แมน มีส่วนแบ่งตลาดเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งรายงานดังกล่าวระบุว่า เป็นผลมาจากการควบรวมกิจการในเชิงกลยุทธ์ของ ไลน์ แมน (และ วงใน) ในช่วงปี 2020 จึงนำไปสู่การปรับปรุงการทำงานร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
ขณะเดียวกัน จากข้อมูลยังพบว่า ช้อปปี้ ฟู้ด (Shopee Food) ก็มีการเติบโตที่น่าสนใจ ด้วยการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มและฐานผู้ใช้มีเพิ่มขึ้น โดยช้อปปี้ ฟู้ด มีส่วนแบ่งตลาดที่ร้อยละ 10 ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ส่วนรายอื่น ๆ รวมกัน มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ร้อยละ 6 (ซึ่งในรายงานดังกล่าว ไม่ได้มีการพูดถึง แต่น่าจะรวม ฟู้ด แพนด้า และ โรบินฮู้ด)
ส่วนธุรกิจบริการเรียกรถโดยสาร มีแนวโน้มที่คล้ายคลึงกันกับ ฟูด ดิลิเวอรี โดยมีคาดการณ์ว่า ขนาดของตลาดเรียกรถโดยสาร มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 2 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า คือเพิ่มขึ้น จากมูลค่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 เป็น 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2028 เป็นการเติบโตจากหลายปัจจัย เช่น การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ความพร้อมของจำนวนยานพาหนะ และคนขับที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และ พฤติกรรมของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น
ส่วนการแข่งขันยังไม่ชัดเจนนัก แต่ผู้เล่น 3 อันดับแรก ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่าร้อยละ 85 (ซึ่งน่าจะหมายถึง แกร็บ, ไลน์ แมน และ โบลต์ (Bolt)
อย่างไรก็ตาม หลังเผยแพร่รายงานของ เรดเซียร์ แกร็บ ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ ระบุว่า แกร็บ ไม่เคยให้ข้อมูลกับบริษัทดังกล่าวมาก่อน
โดยจากแถลงการณ์ แกร็บ ประเทศไทย ระบุว่า บริษัทฯ ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลทางธุรกิจ หรือการทำธุรกรรมใด ๆ ของ แกร็บ ให้กับบริษัทดังกล่าว และไม่เคยเปิดเผยจำนวนธุรกิจ หรือยอดการใช้บริการของธุรกิจ ฟูด ดิลิเวอรี ในช่วงครึ่งปีแรกให้แก่บุคคลภายนอก
ดังนั้น ข้อมูลดังกล่าวที่ระบุถึงสัดส่วนการตลาดของ แกร็บ ที่ร้อยละ 40 จึงไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากบริษัท และ บริษัทฯ ขอยืนยันที่จะไม่รับรองความถูกต้องของข้อมูลที่ระบุในรายงานดังกล่าว
แกร็บ ประเทศไทย ระบุอีกว่า ฝ่ายกฎหมายของบริษัทฯ ได้ติดต่อไปทาง เรดเซียร์ สตราทีจี คอนซัลแทนต์ส เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล รวมถึงระเบียบวิธีการทำวิจัย และอาจพิจารณาดำเนินการใด ๆ ในลำดับต่อไปตามที่บริษัทฯ เห็นสมควร เพื่อปกป้องข้อมูลขององค์กร
พร้อมยืนยันว่า บริษัทฯ ยังมีผลการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ให้บริการครอบคลุมทั้งแอปพลิเคชันเรียกรถ และบริการดิลิเวอรี ซึ่งสะท้อนผ่านรายได้รวม ปี 2566 ที่จำนวน 15,622 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,308 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากรายงานข้อมูลผลประกอบการ พบว่า แกร็บ มีกำไรต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้ว โดยปีก่อนหน้า ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 15,197 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 576 ล้านบาท
ขณะที่ ไลน์ แมน ยังเป็นผลประกอบการขาดทุน แต่ก็เป็นการขาดทุนลดลง โดยย้อนหลัง 2 ปี ปี 2565 ไลน์ แมน มีรายได้รวม 7,802 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 2,730 ล้านบาท
พอมาในปี 2566 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 11,634 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิลดลง เหลือขาดทุนจำนวน 253 ล้านบาท
แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจ ฟูด ดิลิเวอรี แม้จะมีผู้เล่นในตลาดเพียงไม่กี่ราย แต่ก็มีแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ท่ามกลางภาพรวมของตลาดรวมในปีนี้ (2567) มีคาดการณ์ว่าจะหดตัวลง หลังจากเติบโตมาต่อเนื่องในช่วงโควิดระบาด
เห็นได้จากช่องทางดิลิเวอรีของบรรดาผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ที่รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก ต่างปรับตัวลดลง และส่วนทางกับช่องทางนั่งกินในร้านที่เติบโตดีขึ้น
ก่อนหน้านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังได้ประเมินมูลค่าตลาด ฟูด ดิลิเวอรี ในปีนี้ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 86,000 ล้านบาท หดตัวลดลง ราวร้อยละ 1 จากปีที่แล้ว และคาดการณ์ว่าปริมาณการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน จะลดลงประมาณร้อยละ 3.7 ซึ่งเป็นผลมาจาก ความจำเป็นในการสั่งอาหารผ่านแอปลดลง เนื่องจากผู้บริโภคกลับไปทานอาหารที่ร้าน และใช้ชีวิตนอกบ้านกันมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ราคาอาหารเฉลี่ยในแอปก็ปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อปริมาณการสั่ง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าราคาอาหารเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2.2
ส่วนค่าใช้จ่ายในการสั่งอาหารเฉลี่ยต่อครั้ง คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2.8 จากค่าเฉลี่ยในปีที่แล้ว หรือ มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 185 บาท ต่อครั้งของการสั่ง ซึ่งจะมีผลตามมาต่อทั้งจำนวนครั้ง และปริมาณการสั่งให้ลดลง
ที่มาข้อมูล : -