

สรุปข่าว
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค.ได้ติดตามและประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างใกล้ชิด โดยประเมินว่า ความขัดแย้งดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มาก ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งที่อยู่ในวงจำกัด และการหาทางออกของประเทศต่างๆ ทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยได้ ประเมินผลกระทบในด้านต่างๆ อาทิด้านตลาดเงิน-ตลาดทุนโลก และไทยที่มีความผันผวน โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงเมื่อวานนี้ (17 เม.ย.) มาจากปัจจัยความขัดแย้งดังกล่าว และเป็นวันแรกที่ตลาดหุ้นไทย เปิดทำการหลังวันหยุดสงกรานต์ รวมถึงยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น การกำหนดวันจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลง
ด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังเหตุการณ์ความขัดแย้ง แต่ภายหลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงอยู่ในช่วง 85-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยประเมินว่า หากสถานการณ์ความขัดแย้งไม่ลุกลามจะไม่เป็นปัจจัยทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยได้รับผลกระทบน้อย โดยไทยมีการส่งออก และนำเข้าไปยังอิสราเอล และอิหร่าน ในสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.27 และ ร้อยละ 0.05 ของมูลค่าการส่งออกในปี 2566
ด้านการท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบจำกัด โดยไทยมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากอิสราเอล และอิหร่านเพียง ร้อยละ 1.0 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งหมดในปี 2566 ที่ 28 ล้าน 2 แสนคน จึงคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทยไม่มากนัก และ ด้านการลงทุนของไทยกับอิสราเอล และอิหร่านยังมีมูลค่าที่น้อยมาก ทำให้ผลกระทบด้านการลงทุนโดยตรงจากตะวันออกกลางมายังไทยอาจจะได้รับผลกระทบไม่มาก
ทั้งนี้ สศค. ยังจะติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน และเชื่อมั่นว่าการดำเนินนโยบายการคลังในระยะต่อจากนี้ไป จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง
ภาพจาก: AFP
ที่มาข้อมูล : -