

สรุปข่าว
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวลดลง จากแรงเทขายทำกำไร รวมถึงดอลลาร์แข็งค่า และ Bond Yield สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะตลาดกังวลว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อไป เนื่องจากเงินเฟ้อยังสูง หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายต่างออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับดอกเบี้ย ก่อนที่เฟดจะเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ในวันที่ 22 เม.ย. ซึ่งเฟดจะมีการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 2-3 พ.ค. นี้ ขณะที่ช่วงกลางสัปดาห์ก่อนจีนได้มีการเปิดเผยจีดีพีจีนไตรมาส 1 ขยายตัว 4.5% สูงกว่าคาด ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนลงเล็กน้อยหนุนราคาทองคำให้มีการฟื้นตัว อย่างไรก็ตามช่วงปลายสัปดาห์ราคาทองคำก็ปรับตัวลงแรงอีกครั้ง ทั้งนี้การเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่มีการฟื้นตัว เนื่องจากจีนเริ่มมีการเปิดประเทศและยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ตั้งแต่เดือนมกราคม ส่งผลต่อความต้องการทองคำโลกอย่างมาก
ถ้าเคยติดตามบทความของทางฮั่วเซ่งเฮงที่เคยเขียนเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่ดีขึ้น ส่งผลต่อความต้องการทองคำมากขึ้น จากที่การขยายตัวของ GDP รายไตรมาสของจีนกับการบริโภคทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ค่อนข้างสูง และจีนเป็นผู้ใช้ทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก หลังจากที่จีนเปิดประเทศนั้นความต้องการทองคำของจีนก็เพิ่มขึ้น มีการถอนทองคำออกจาก Shanghai Gold Exchange (SGE) รวม 157 ตันในเดือนมีนาคม ซึ่งเพิ่มขึ้น 57 ตันจากปีก่อน นี่คือภาพสะท้อนของอุปสงค์ค้าส่งในไตรมาส 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2562 และส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในตลาดทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่มีการไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำของจีนเป็นครั้งแรกในปี 2566 กว่า 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ความต้องการทองคำในจีนเริ่มพุ่งสูงขึ้นนับตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 จากที่รัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดมาตราการโควิด ส่งผลอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น โดยจีนมีการนำทองคำกว่า 1,343 ตันในปี 2565 ซึ่งเป็นการนำเข้าทองคำที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2561 และเพิ่มขึ้นกว่า 64% จากปี 2564 นอกจากนี้ธนาคารประชาชนจีนกลับมาซื้อทองคำอย่างเป็นทางการอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน และยังคงซื้อต่อเนื่องติดต่อกัน 5 เดือน โดยมียอดสะสมเข้าซื้อในช่วงเวลา 5 เดือนเพิ่มขึ้นกว่า 120 ตัน ทำให้ปริมาณทองคำสำรองของจีนทั้งหมดกว่า 2,068 ตัน ขณะที่การนำเข้าทองคำของจีนมีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 244 ตันในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2566 ซึ่งมากสุดในรอบปีนับตั้งแต่ปี 2558 สอดคล้องกับความต้องการทองคำค้าส่งที่แข็งแกร่งและแนวโน้มของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
ความต้องการทองคำในจีนพุ่งสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หนุนราคาทองคำในตลาดโลก
Gold Bullish
|
Gold Bearish
|
แนวโน้มราคาทองคำคาดอยู่ในช่วงของการปรับฐาน ราคาทองคำพยายามสร้างฐานที่ 1,965-1,970 ดอลลาร์ ถ้าหลุดแนวรับดังกล่าวคาดว่าจะมีแรงเทขายออกมามากและจะปรับตัวลงไปที่แนวรับ 1,950 ดอลลาร์ ส่วนสัปดาห์นี้สหรัฐเปิดเผยจีดีพีไตรมาส 1 ประมาณการครั้งที่ 1 ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานเดือนมี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. โดย Conference Board ยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค. ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดทำสัญญาขายบ้านรอปิดการขายเดือนมี.ค. ดัชนี PMI เขตชิคาโกเดือนเม.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.ของม.มิชิแกน
ราคาทองคำมีแนวรับอยู่ที่ 1,965 ดอลลาร์ และ 1,950 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 2,000 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,015 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 32,200 บาท และ 32,000 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 32,600 บาท และ 32,800 บาท
ธนรัชต์ พสวงศ์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง
ติดตามข่าวหุ้นและการลงทุนทางไลน์
• Line @TNNWEALTH : https://bit.ly/3tCKmiD
———————————————————————
ติดตาม TNN Wealth ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
• Youtube : https://bit.ly/TNNWealthYoutube
• TikTok : https://bit.ly/TNNWealthTikTok
หรือดูรายการ Live ได้ทาง https://bit.ly/3HmUu4O
ที่มาข้อมูล : -