
อุณหภูมิการเมืองไทยร้อนระอุ ! หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 2 เสียง รับคำร้องคดี สว. ขอถอดถอน “แพทองธาร ชินวัตร” ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังปมคลิปเสียงสนทนาระหว่าง “นายกฯ - ฮุน เซน”หลุด โดยศาลฯ สั่งนายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งผู้ถูกร้องยื่นคำร้องชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง
โดยวันเดียวกันมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ หนุนดัชนีหุ้นไทยพลิกปิดพุ่ง 20.45 จุด เพิ่มขึ้น 1.88% แตะที่ระดับ 1,110.01 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 41,714.05 ล้านบาท เนื่องจากข่าวดังกล่าวสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุน หลังจากอึมครึมมานานส่งผลด้านจิตวิทยาเชิงบวกทำให้ตลาดคลายความกังวลการยกระดับความรุนแรงการชุมุนม และตลาดคาดหวังจะมีนโยบายใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีเพิ่มขึ้น
หากย้อนดูฟันโฟล์ว ตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้านกับตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาพบว่า ต่างชาติขายหุ้นอินโดนีเซียมากสุด 511 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นไทย 244 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ 72 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นเวียดนาม 44 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเอเชียใต้ถูกขายสุทธิ ขณะที่เอเชียเหนือซื้อสุทธิ โดยตลาดหุ้นไต้หวันซื้อสุทธิ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากเป็นช่วงการเมืองร้อนแรง เกิดประเด็นคลิปเสียงหลุด และดัชนีทั้ง MSCI, FTSE Rebalancing ปรับดัชนีเข้า-ออกรอบใหม่เป็นปัจจัยกดดันหุ้นไทย
ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังจากที่ได้ครม.ใหม่จะกลับมาฟื้นตัวได้มากน้อยแค่ไหน ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ
เริ่มจาก“ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ฉายภาพว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ทีผ่านมาปรับขึ้น 4% ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ขึ้นแรงสุดของปีนี้ หลังจาก 4 ปัจจัยคลี่คลาย ทั้งเรื่องสงครามในตะวันออกกลาง การเดินหน้าเจรจาเรื่องภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา และการเมืองนอกสภาผ่อนลงไป หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องปมคลิปเสียงนายกฯ หารือกับนายฮุน เซน ผู้นำกัมพูชาหลุด และสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยให้ผู้ถูกร้อง ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ซึ่งต้องรอดูว่าผลการตัดสินของศาลจะออกมาอย่างไร
ถ้าหากให้นายกฯ หยุดปฎิบัติหน้าที่ก็ต้องเลือกนายกฯ คนใหม่ขึ้นมาแทน แต่ถ้านายกฯลาออก พรรคประชาชนฝ่ายค้าน เสนอนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว โดยที่ไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งทำให้มีเสียงทั้งหมด 234 เสียง หายไป 14 เสียง จากนั้นเดินหน้าสู่การยุบสภาภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ต่อหรือฝ่ายค้านขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทนก็เป็นไปตามกลไกรัฐสภา ลดแรงกดดันผู้ชุมนุมและรัฐประหาร แต่หากศาลฯตัดสินให้ปฎิบัติหน้าที่ต่อรัฐบาลก็บริหารประเทศตามระบบต่อไป
โดยในช่วงที่การเมืองร้อนแรงเม็ดเงินไหลเข้าไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ จนมีมูลค่าตลาดสูงถึง 17.33 ล้านล้านบาท สูงกว่ามูลค่าตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 13.9 ล้านล้านบาท ซึ่งปกติเม็ดเงินจากตลาดหุ้นจะมากกว่าตลาดตราสารหนี้เสมอ นอกจากนี้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) อายุ 1-5 ปีอยู่ระดับต่ำกว่า 1.5% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% แสดงให้เห็นว่าเงินไหลเข้าตราสารหนี้ไทย หรือสินทรัพย์ปลอดภัยมากเกินไป ดังนั้นเชื่อว่าหากสถานการณ์ในประเทศและนอกประเทศคลี่คลายจะดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน และส่งผลให้เม็ดเงินจากตลาดพันธบัตรจะไหลกลับมาที่ตลาดหุ้นมากขึ้น ดังนั้นมองว่าหุ้นไทยสัปดาห์หน้ายังแกว่งไซด์เวย์อัพ กรอบเคลื่อนไหว 1,100 จุด ถึง 1,160 จุด
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นปันผล เพราะเม็ดเงินมีโอกาสไหลจากพันธบัตรมาหุ้นปันผลมากขึ้น โดย SET ให้ปันผลประมาณ 4.5% ขณะที่บอนด์ยีลด์ 1 ถึง 5 ปี ให้ผลตอบแทนกว่าฝากเงิน หรือไม่ถึง 1.5%
M จัดโปรโมชั่น 229 บาทดึงลูกค้าทำให้มีรายได้เติบโตในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปันผล 9% ต่อปี
SC ราคาหุ้นลงมาเยอะ โดยมีการพรีเซล (Presale) มีสัญญาณฟื้น ปันผล 8% ต่อปี
TU ราคาหุ้นปรับขึ้นน้อยกว่าบริษัทลูกมีโอกาสฟื้นตัว ปันผล 7% ต่อปี
KTC ราคาลงลึกหลังถูกวางค้ำประกันในบัญชีมาร์จิ้น คาดว่าจะฟื้นตัว ปันผล 5 % ต่อปี
หุ้นมีกระแสบวกเฉพาะตัว
STECON ได้ประโยชน์จากกระแสการเปลี่ยนขั้นทางการเมือง ราคาเป้าหมาย 18.80 บาท
BCH จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากช่วงไฮซีซั่น ธุรกิจเติบโต 2 หลัก YOY
ERW การชุมนุมลดลง คาดคนจีนหันมาเที่ยวไทยมากขึ้น
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคือการผ่อนผันภาษีอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐครบกำหนด 90 วัน ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ซึ่งต้องดูว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเท่าไหร่ จากเดิมที่กำหนดไว้ 36% โดยตลาดมองว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีจากไทยประมาณ 15-25% หากอยู่ในระดับนี้เชื่อว่าตลาดยังรับได้ แต่ถ้าเกิน 25% ตลาดจะผันผวน และถ้าสหรัฐฯคงเก็บภาษีสูง 36% จะทำให้ตลาดปั่นป่วนหนัก
แต่นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ระบุว่า อาจจะเก็บภาษีตามขั้นบันได หรืออาจขยายเวลาต่อรองให้อีก 90 วัน ซึ่งหากสหรัฐฯไม่ผ่อนปรนให้ไทยเก็บภาษี 36% เลยอาจทำให้ดัชนีหุ้นไทยต่ำกว่า 1,000 จุด
สรุปข่าว
อุณหภูมิการเมืองไทยร้อนระอุ ! หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 2 เสียง รับคำร้องคดี สว. ขอถอดถอน “แพทองธาร ชินวัตร” ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังปมคลิปเสียงสนทนาระหว่าง “นายกฯ - ฮุน เซน”หลุด โดยศาลฯ สั่งนายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งผู้ถูกร้องยื่นคำร้องชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง
โดยวันเดียวกันมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ หนุนดัชนีหุ้นไทยพลิกปิดพุ่ง 20.45 จุด เพิ่มขึ้น 1.88% แตะที่ระดับ 1,110.01 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 41,714.05 ล้านบาท เนื่องจากข่าวดังกล่าวสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุน หลังจากอึมครึมมานานส่งผลด้านจิตวิทยาเชิงบวกทำให้ตลาดคลายความกังวลการยกระดับความรุนแรงการชุมุนม และตลาดคาดหวังจะมีนโยบายใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีเพิ่มขึ้น
หากย้อนดูฟันโฟล์ว ตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้านกับตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาพบว่า ต่างชาติขายหุ้นอินโดนีเซียมากสุด 511 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นไทย 244 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ 72 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นเวียดนาม 44 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเอเชียใต้ถูกขายสุทธิ ขณะที่เอเชียเหนือซื้อสุทธิ โดยตลาดหุ้นไต้หวันซื้อสุทธิ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากเป็นช่วงการเมืองร้อนแรง เกิดประเด็นคลิปเสียงหลุด และดัชนีทั้ง MSCI, FTSE Rebalancing ปรับดัชนีเข้า-ออกรอบใหม่เป็นปัจจัยกดดันหุ้นไทย
ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังจากที่ได้ครม.ใหม่จะกลับมาฟื้นตัวได้มากน้อยแค่ไหน ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ
เริ่มจาก“ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ฉายภาพว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ทีผ่านมาปรับขึ้น 4% ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ขึ้นแรงสุดของปีนี้ หลังจาก 4 ปัจจัยคลี่คลาย ทั้งเรื่องสงครามในตะวันออกกลาง การเดินหน้าเจรจาเรื่องภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา และการเมืองนอกสภาผ่อนลงไป หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องปมคลิปเสียงนายกฯ หารือกับนายฮุน เซน ผู้นำกัมพูชาหลุด และสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยให้ผู้ถูกร้อง ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ซึ่งต้องรอดูว่าผลการตัดสินของศาลจะออกมาอย่างไร
ถ้าหากให้นายกฯ หยุดปฎิบัติหน้าที่ก็ต้องเลือกนายกฯ คนใหม่ขึ้นมาแทน แต่ถ้านายกฯลาออก พรรคประชาชนฝ่ายค้าน เสนอนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว โดยที่ไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งทำให้มีเสียงทั้งหมด 234 เสียง หายไป 14 เสียง จากนั้นเดินหน้าสู่การยุบสภาภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ต่อหรือฝ่ายค้านขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทนก็เป็นไปตามกลไกรัฐสภา ลดแรงกดดันผู้ชุมนุมและรัฐประหาร แต่หากศาลฯตัดสินให้ปฎิบัติหน้าที่ต่อรัฐบาลก็บริหารประเทศตามระบบต่อไป
โดยในช่วงที่การเมืองร้อนแรงเม็ดเงินไหลเข้าไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ จนมีมูลค่าตลาดสูงถึง 17.33 ล้านล้านบาท สูงกว่ามูลค่าตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 13.9 ล้านล้านบาท ซึ่งปกติเม็ดเงินจากตลาดหุ้นจะมากกว่าตลาดตราสารหนี้เสมอ นอกจากนี้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) อายุ 1-5 ปีอยู่ระดับต่ำกว่า 1.5% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% แสดงให้เห็นว่าเงินไหลเข้าตราสารหนี้ไทย หรือสินทรัพย์ปลอดภัยมากเกินไป ดังนั้นเชื่อว่าหากสถานการณ์ในประเทศและนอกประเทศคลี่คลายจะดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน และส่งผลให้เม็ดเงินจากตลาดพันธบัตรจะไหลกลับมาที่ตลาดหุ้นมากขึ้น ดังนั้นมองว่าหุ้นไทยสัปดาห์หน้ายังแกว่งไซด์เวย์อัพ กรอบเคลื่อนไหว 1,100 จุด ถึง 1,160 จุด
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นปันผล เพราะเม็ดเงินมีโอกาสไหลจากพันธบัตรมาหุ้นปันผลมากขึ้น โดย SET ให้ปันผลประมาณ 4.5% ขณะที่บอนด์ยีลด์ 1 ถึง 5 ปี ให้ผลตอบแทนกว่าฝากเงิน หรือไม่ถึง 1.5%
M จัดโปรโมชั่น 229 บาทดึงลูกค้าทำให้มีรายได้เติบโตในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปันผล 9% ต่อปี
SC ราคาหุ้นลงมาเยอะ โดยมีการพรีเซล (Presale) มีสัญญาณฟื้น ปันผล 8% ต่อปี
TU ราคาหุ้นปรับขึ้นน้อยกว่าบริษัทลูกมีโอกาสฟื้นตัว ปันผล 7% ต่อปี
KTC ราคาลงลึกหลังถูกวางค้ำประกันในบัญชีมาร์จิ้น คาดว่าจะฟื้นตัว ปันผล 5 % ต่อปี
หุ้นมีกระแสบวกเฉพาะตัว
STECON ได้ประโยชน์จากกระแสการเปลี่ยนขั้นทางการเมือง ราคาเป้าหมาย 18.80 บาท
BCH จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากช่วงไฮซีซั่น ธุรกิจเติบโต 2 หลัก YOY
ERW การชุมนุมลดลง คาดคนจีนหันมาเที่ยวไทยมากขึ้น
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคือการผ่อนผันภาษีอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐครบกำหนด 90 วัน ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ซึ่งต้องดูว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเท่าไหร่ จากเดิมที่กำหนดไว้ 36% โดยตลาดมองว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีจากไทยประมาณ 15-25% หากอยู่ในระดับนี้เชื่อว่าตลาดยังรับได้ แต่ถ้าเกิน 25% ตลาดจะผันผวน และถ้าสหรัฐฯคงเก็บภาษีสูง 36% จะทำให้ตลาดปั่นป่วนหนัก
แต่นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ระบุว่า อาจจะเก็บภาษีตามขั้นบันได หรืออาจขยายเวลาต่อรองให้อีก 90 วัน ซึ่งหากสหรัฐฯไม่ผ่อนปรนให้ไทยเก็บภาษี 36% เลยอาจทำให้ดัชนีหุ้นไทยต่ำกว่า 1,000 จุด
ฝั่ง “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA , CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี ประเมินว่า หุ้นไทยสัปดาห์หน้าแกว่ง ไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ แรงหนุนจากพัฒนาการการเจรจาการค้าสหรัฐฯ กับประเทศที่ยังไม่มีข้อสรุป โดยให้โอกาส 65% คาดไทยจะได้ดีลใกล้เคียงหรือดีกว่าประเทศศักยภาพใกล้กัน ซึ่งอิงกรณีเวียดนามที่สหรัฐฯ เน้นความเสี่ยงสินค้าสวมสิทธิ์ และสหรัฐฯกังวลประเด็นดังกล่าวกับไทยในระดับต่ำกว่าเวียดนาม
โดย SET ฟื้นตัวช่วงสหรัฐฯ ผ่อนผันภาษี 9 เม.ย.ที่ผ่านมาเป็นอันลำดับต้น ๆ ของโลก ช่วยจำกัด Downside ประเมินแนวต้านแรกที่1,134 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,145จุด แนวรับ 1,104 จุด แนวต้านที่ 1,094จุด
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนให้น้ำหนัก หุ้นอิงดอกเบี้ยขาลง (เช่าซื้อ โรงไฟฟ้า High Yield และหนี้สูง) และหุ้น Reopening Trade ที่ลักษณะของดีลการค้ามีโอกาสเกิดขึ้นแน่นอนในส่วนการที่ต้องนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เพื่อผลิตและจำหน่าย (โรงไฟฟ้า, ปิโตรเคมี, เทคฯ) และกลุ่มที่ยัง Undervalue นิคม, China Plays
• ADVANC (TP-350) กำไร 2Q25F เด่น การต่อรองไทยนำเข้าจากสหรัฐฯเพิ่ม หากครอบคลุมสินค้าเทคฯ จะบวกต่อต้นทุน
• GULF (TP-56.5) มองหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-ไทย
• PTTGC (TP-28) Deep Value ลุ้นภาพบวกจีน ได้ประโยชน์หากนำเข้าก๊าซาสหรัฐฯเพิ่ม
ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตาม
- บทสรุปการเจรจาการค้าไทย – สหรัฐฯ คาดตลาดเน้น 2 ประเด็น 1. ข้อสรุปก่อนมาตรการผ่อนผันสิ้นสุด 9 ก.ค. 2. ข้อเสนอที่ได้ vs ประเทศศักยภาพใกล้กัน เช่น เวียดนาม เราให้โอกาส 65% ไทยได้ข้อเสนอใกล้กัน - ดีกว่า คาดหนุนโมเมนตัมหุ้น Reopening Trade ที่ลักษณะของดีลการค้ามีโอกาสเกิดขึ้นแน่นอนในส่วนการที่ต้องนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น (เทคโนโลยี, กลุ่มนำเข้าสินค้ามาจำหน่าย/ผลิต, China Plays, นิคม)
- 7 ก.ค. เงินเฟ้อ CPI มิ.ย. คาดเงินเฟ้อทั่วไป -0.1%y-y จากเดิม -0.57%y-y, เงินเฟ้อพื้นฐาน คาด +1.1%y-y จากเดิมอยู่ที่ +1.09%y-y
- 7-11 ก.ค. ร่างกฎหมายที่รัฐฯต้องการผลักดันเข้าสภา เราแนะจับตาร่างกฎหมายเกี่ยวข้องกับการผลักดันรถไฟฟ้า 20 บาท บวกต่อหุ้นรถไฟฟ้า อสังหาฯ ค้าปลีก
- 9 ก.ค. รายงานการประชุม FOMC รอบเดือนมิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด
- 9 ก.ค. เงินเฟ้อ CPI มิ.ย ของจีน คาด +0.0%y-y เท่าเดือนก่อน และเงินเฟ้อ PPI มิ.ย. คาด -3.1%y-y จากเดิมอยู่ที่ -3.3%y-y
ปิดท้ายที่ “วิลาสินี บุญมาสูงทรง” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก มองหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าปรับตัวลง เนื่องจากการเมืองในประเทศมีความไม่แน่นอน หลังปรับครม.ใหม่ รัฐบาลขาดเสถียรภาพ การดำเนินนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 69 ที่อยู่ระหว่างพิจารณาอาจล่าช้าขณะที่ผลการเจรจาภาษียืดเยื้อกดดันตลาดหุ้นไทยมองกรอบดัชนีที่ 1,100-1,140 จุด
ประเด็นที่ต้องติดตาม
- 4 ก.ค. ญี่ปุ่น รายงานการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนพ.ค.
- 8 ก.ค. ญี่ปุ่น รายงานดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพ.ค.
- 8 ก.ค. สหรัฐ รายงานการคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคเดือนมิ.ยิ
- 8 ก.ค.และ 15 ก.ค. ศาลฎีกานัดสอบพยานคดีชั้น 14
- 9 ก.ค. ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิง
- 9 ก.ค. จีน รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. และดัชนี
- ราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย.
- 10 ก.ค. เฟดเปิดเผยรายงานการประชุนที่ 17-18 มิ.ย.
- 10 ก.ค. ญี่ปุ่น รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย.
- 29-30 ก.ค. ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครั้งที่ 4/68
- กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ
- สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค
- สหรัฐ รายงานสด็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ค. และสด็อก
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้น
- COCOCO “ซื้อเก็งกำไร” Bloomberg consensus ประเมินราคาเป้าหมาย 8.05 บาท คาดผลประกอบการ 2Q68 เติบโต QoQ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วง High season ของธุรกิจเครื่องดื่ม ประกอบกับบริษัทได้ปรับเพิ่มราคาขายสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้น เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการเพิ่มเติม แต่คาดจะยังชะลอตัว YoY เนื่องจากต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามต้นทุนวัตถุดิบเริ่มมีสัญญาณดีขึ้น จากปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้น ทำให้ราคามะพร้าวลดลง
- TISCO "ถือ" ราคาเหมาะสม 99 บาท โดยBloomberg Consensus คาดกำไรปี 68 เฉลี่ย 6,487 ล้านบาท หดตัว 6%YoY แต่การถือหุ้นระยะยาวให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูงเกือบ 8% แม้ว่า แนวโน้มกำไร 2Q68 ลดลง 11%YoY และลดลง 5%QoQ เหลือ 4,857 ล้านบาทเนื่องจาก 1. รายได้ดอกเบี้ยอ่อนตัวลงจาก NIM แคบลง 2. รายได้ค่าธรรมเนียมยังแผ่วตามภาวะตลาดทุนที่ซบเซา 3.NPL และ credit cost มีโอกาสสูงขึ้น
แม้ว่านักลงทุนจะคลายกังวลในระดับหนึ่งต่อการเมืองในประเทศ แต่ปัจจัยที่ใหญ่กว่า ซึ่งทุกคนต้องเฝ้าจับตาใกล้ชิด คือการเจรจาภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯว่าจะออกมาอย่างไร โดยผลเจรจาจะเป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายต่อเศรษฐกิจไทย และเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป....
ที่มาข้อมูล : สัมภาษณ์
ที่มารูปภาพ : Getty Images
นักข่าวอาวุโส ประสบการณ์มากกว่า 25ปี ด้านข่าวการเงิน การคลัง การลงทุน