
เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน หลังจากคลิปสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุน เซน ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยเป็นการสนทนาเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา การปิด-เปิดด่าน ทั้งยังมีการอ้างถึงแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝั่งตรงข้าม ซึ่งต่อมานายกรัฐมนตรีได้มีการแถลงชี้แจงเร่งด่วน ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงจริง ทำให้มีกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยการลาออก รวมไปถึงท่าทีของพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ท่าทีพรรคภูมิใจไทยแตกหักกับรัฐบาลประกาศถอยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ทุบหุ้นไทยดิ่งเซ่นปมร้อนการเมือง 3 วันร่วงลงไป 45.95 จุด หรือลดลง 4.13%
โดยในวันนี้ TNN Online พาไปย้อนดูดัชนีหุ้นไทยภายใต้การบริหารประเทศของ 10 รัฐบาล ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีรัฐบาลไหนบ้างที่ ดัชนีพุ่งกระฉูด และรัฐบาลไหนบ้างที่ดัชนีหุ้นไทยดิ่ง จากผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงทิศทางหุ้นไทยสัปดาห์หน้าจะไปต่ออย่างไร และหุ้นตัวไหนที่ยังน่าลงทุน ตามไปส่องกันเลยค่ะ
เริ่มจาก “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส เล่าย้อนสถิติในอดีต-ปัจจุบันของบุคคลสำคัญที่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและบริหารประเทศถึงการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยพบว่า
สมัย "ชวน หลีกภัย" พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ก.ย. 1992 บริหารประเทศ 2 ปี 9 เดือน 20 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 68.7% จาก 863 จุด ไปแตะที่ระดับ 1,456 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยบูม และไทย โดยไทยเคยถูกคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย
- สมัย "บรรหาร ศิลปอาชา" พรรคชาติไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ก.ค. 1995 บริหารประเทศ 1 ปี 4 เดือน 12 วัน ดัชนีหุ้นไทยลดลง 34% จากระดับ 1,467 จุด มาอยู่ที่ระดับ 968 จุด เนื่องจาก ฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยเริ่มปริแตก หลังจากเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี 1990 ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน ปล่อยสินเชื่ออย่างไม่มีวินัย หนี้เสียเริ่มสะสม นักลงทุนเริ่มมองว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มเปราะบาง
- สมัย "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์" พรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน พ.ย. 1996 บริหารประเทศ 11 เดือน 14 วัน ดัชนีหุ้นไทยลดลง 49% จากระดับ 1,996 จุด มาอยู่ที่ระดับ 543 จุด โดย ในช่วงกลางปี 1997 ประเทศไทยประสบวิกฤตทางการเงินครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย ซึ่งวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 รัฐบาล ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท บาทอ่อนค่ารุนแรง ภาระหนี้ต่างประเทศของเอกชนพุ่ง บริษัทจำนวนมากล้มละลาย นักลงทุนต่างชาติ เทขายหุ้นและพันธบัตรส่งผลให้ตลาดหุ้นทรุดหนัก
- สมัย "ทักษิณ ชินวัตร" พรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ก.พ. 2001 บริหารประเทศ 5 ปี 7 เดือน 10 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 114.5% จากระดับ 327จุด มาอยู่ที่ระดับ 702 จุด นักลงทุนในตลาดหุ้นตอบรับในเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน พักหนี้เกษตรกร และโครงการบ้านเอื้ออาทร
- สมัย "พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์" เป็นนายกรัฐมนตรี (ช่วง พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก่อรัฐประหาร) เดือน ต.ค.ปี 2006 บริหารประเทศ 1 ปี 3 เดือน 28 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 9.7% จาก 688 จุด ไปแตะที่ระดับ 755 จุด
- สมัย "สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์" พรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี เดือนม.ค. ปี 2008 ซึ่งทั้ง 2 คนบริหารประเทศ 10 เดือน 3 วัน หุ้นลง 48% จากระดับ 747 จุด ลงไปสู่ระดับ 387 จุด โดย สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ (ก.ย. 2008) เพราะจัดรายการทำอาหารในทีวี ขัดรัฐธรรมนูญ ส่วน สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (PAD) ชุมนุมใหญ่ ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง เป็นเวลา หลายวัน ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายรุนแรง การท่องเที่ยวและการลงทุนกระทบหนัก
- สมัย "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือนพ.ย. 2008 บริหารประเทศ 2 ปี 7 เดือน 19 วัน หุ้นไทยพุ่ง 145% จากระดับ 445 จุด ขึ้นไปแตะระดับ 1,093 จุด เนื่องจากเป็นช่วงหมดวิกฤติซัพไพร์ม
- สมัย "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ส.ค. 2011 บริหารประเทศ 2 ปี 9 เดือน 2 วัน หุ้นไทยพุ่ง 24.8% ดัชนีเพิ่มขึ้นจาก 1,124 จุด เป็น 1,402 จุด เป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (ประชานิยมเฟสใหม่) ทั้ง โครงการรับจำนำข้าว ลดภาษีนิติบุคคล แจกแท็บเล็ตนักเรียน รถยนต์คันแรก และเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาหาสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่
- สมัย "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี (ช่วงรัฐประหาร) เดือนส.ค. 2014 บริหารประเทศ 8 ปี 11 เดือน 29 วัน หุ้นไทยร่วง 0.4% จากระดับ 1,551 จุด ลงมาอยู่ที่ระดับ 1,545 จุด
- สมัย "เศรษฐา ทวีสิน" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ส.ค. 2023 และ "แพทองธาร ชินวัตร" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ 1 ปี 10 เดือน หุ้นไทยร่วง 30% จากระดับ 1,526 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1,069 จุด โดยกรณีของ "เศรษฐา" พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 ให้เศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากปม แต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งที่พิชิตเคยต้องคำพิพากษาจำคุกหกเดือนฐานละเมิดอำนาจศาล ส่วน "แพทองธาร" นั้น เกิดจากคลิปเสียงคุย “ฮุนเซน” หลุด
สรุปแล้วดัชนีหุ้นไทยปรับตัวร้อนแรงเป็นช่วงที่ “อภิสิทธิ์” พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยพุ่งกระฉูด 145% ถัดมาเป็นสมัย “ทักษิณ” พรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรีหุ้นไทยขึ้น 114.5% และสมัยที่ “ชวน” พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรีหุ้นขึ้น 68.7%
ในทางกลับกันดัชนีลงแรงในช่วงที่สมัย "พล.อ.ชวลิต" พรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีหุ้นไทยดิ่ง 49% สมัยที่ "สมัคร -สมชาย" ์พรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นร่วง 48% สมัย "บรรหาร" พรรคชาติไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีหุ้นไทยร่วง 34% สมัย “เศรษฐา” - “แพทองธาร” พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยร่วงไปแล้ว 30%
โดยทิศทางตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังร้อนแรงจากประเด็นการเมืองที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า หลังจากที่ พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวออกจากรัฐบาลมีเก้าอี้รัฐมนตรีว่าง 8 ที่นั่ง พรรคร่วมรัฐบาลจะได้เก้าอี้เพิ่มเติมตรงกระทรวงไหนบ้าง ซึ่งจากข้อมูลตั้งแต่ 14 พ.ค.-19 มิ.ย.หุ้นไทยลงไปแล้ว 12% ซึ่งเป็นการลงมากสุดในโลก รองลงมาเป็นตลาดหุ้นอาร์เจนตินา ติดลบ 9.7% ตลาดหุ้นซาอุดิอารเบียติดลบ 8% สวนทางหุ้นโลกปรับขึ้น 1.7% และถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น การชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นจะทำให้หุ้นไทยผันผวนหนักในช่วงสั้น
ดังนั้นการลงทุนเน้นหุ้น Defensive คาดกำไรเติบโตในไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3/68 เช่น BH ราคาเป้าหมาย 230 บาท PR9 ราคาเป้าหมาย 31 บาท CPAXT ราคาเป้าหมาย 29.50 บาท
สรุปข่าว
เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน หลังจากคลิปสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุน เซน ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยเป็นการสนทนาเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา การปิด-เปิดด่าน ทั้งยังมีการอ้างถึงแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝั่งตรงข้าม ซึ่งต่อมานายกรัฐมนตรีได้มีการแถลงชี้แจงเร่งด่วน ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงจริง ทำให้มีกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยการลาออก รวมไปถึงท่าทีของพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ท่าทีพรรคภูมิใจไทยแตกหักกับรัฐบาลประกาศถอยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ทุบหุ้นไทยดิ่งเซ่นปมร้อนการเมือง 3 วันร่วงลงไป 45.95 จุด หรือลดลง 4.13%
โดยในวันนี้ TNN Online พาไปย้อนดูดัชนีหุ้นไทยภายใต้การบริหารประเทศของ 10 รัฐบาล ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีรัฐบาลไหนบ้างที่ ดัชนีพุ่งกระฉูด และรัฐบาลไหนบ้างที่ดัชนีหุ้นไทยดิ่ง จากผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงทิศทางหุ้นไทยสัปดาห์หน้าจะไปต่ออย่างไร และหุ้นตัวไหนที่ยังน่าลงทุน ตามไปส่องกันเลยค่ะ
เริ่มจาก “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส เล่าย้อนสถิติในอดีต-ปัจจุบันของบุคคลสำคัญที่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและบริหารประเทศถึงการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยพบว่า
สมัย "ชวน หลีกภัย" พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ก.ย. 1992 บริหารประเทศ 2 ปี 9 เดือน 20 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 68.7% จาก 863 จุด ไปแตะที่ระดับ 1,456 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยบูม และไทย โดยไทยเคยถูกคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย
- สมัย "บรรหาร ศิลปอาชา" พรรคชาติไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ก.ค. 1995 บริหารประเทศ 1 ปี 4 เดือน 12 วัน ดัชนีหุ้นไทยลดลง 34% จากระดับ 1,467 จุด มาอยู่ที่ระดับ 968 จุด เนื่องจาก ฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยเริ่มปริแตก หลังจากเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี 1990 ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน ปล่อยสินเชื่ออย่างไม่มีวินัย หนี้เสียเริ่มสะสม นักลงทุนเริ่มมองว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มเปราะบาง
- สมัย "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์" พรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน พ.ย. 1996 บริหารประเทศ 11 เดือน 14 วัน ดัชนีหุ้นไทยลดลง 49% จากระดับ 1,996 จุด มาอยู่ที่ระดับ 543 จุด โดย ในช่วงกลางปี 1997 ประเทศไทยประสบวิกฤตทางการเงินครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย ซึ่งวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 รัฐบาล ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท บาทอ่อนค่ารุนแรง ภาระหนี้ต่างประเทศของเอกชนพุ่ง บริษัทจำนวนมากล้มละลาย นักลงทุนต่างชาติ เทขายหุ้นและพันธบัตรส่งผลให้ตลาดหุ้นทรุดหนัก
- สมัย "ทักษิณ ชินวัตร" พรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ก.พ. 2001 บริหารประเทศ 5 ปี 7 เดือน 10 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 114.5% จากระดับ 327จุด มาอยู่ที่ระดับ 702 จุด นักลงทุนในตลาดหุ้นตอบรับในเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน พักหนี้เกษตรกร และโครงการบ้านเอื้ออาทร
- สมัย "พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์" เป็นนายกรัฐมนตรี (ช่วง พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก่อรัฐประหาร) เดือน ต.ค.ปี 2006 บริหารประเทศ 1 ปี 3 เดือน 28 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 9.7% จาก 688 จุด ไปแตะที่ระดับ 755 จุด
- สมัย "สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์" พรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี เดือนม.ค. ปี 2008 ซึ่งทั้ง 2 คนบริหารประเทศ 10 เดือน 3 วัน หุ้นลง 48% จากระดับ 747 จุด ลงไปสู่ระดับ 387 จุด โดย สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ (ก.ย. 2008) เพราะจัดรายการทำอาหารในทีวี ขัดรัฐธรรมนูญ ส่วน สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (PAD) ชุมนุมใหญ่ ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง เป็นเวลา หลายวัน ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายรุนแรง การท่องเที่ยวและการลงทุนกระทบหนัก
- สมัย "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือนพ.ย. 2008 บริหารประเทศ 2 ปี 7 เดือน 19 วัน หุ้นไทยพุ่ง 145% จากระดับ 445 จุด ขึ้นไปแตะระดับ 1,093 จุด เนื่องจากเป็นช่วงหมดวิกฤติซัพไพร์ม
- สมัย "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ส.ค. 2011 บริหารประเทศ 2 ปี 9 เดือน 2 วัน หุ้นไทยพุ่ง 24.8% ดัชนีเพิ่มขึ้นจาก 1,124 จุด เป็น 1,402 จุด เป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (ประชานิยมเฟสใหม่) ทั้ง โครงการรับจำนำข้าว ลดภาษีนิติบุคคล แจกแท็บเล็ตนักเรียน รถยนต์คันแรก และเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาหาสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่
- สมัย "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี (ช่วงรัฐประหาร) เดือนส.ค. 2014 บริหารประเทศ 8 ปี 11 เดือน 29 วัน หุ้นไทยร่วง 0.4% จากระดับ 1,551 จุด ลงมาอยู่ที่ระดับ 1,545 จุด
- สมัย "เศรษฐา ทวีสิน" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ส.ค. 2023 และ "แพทองธาร ชินวัตร" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ 1 ปี 10 เดือน หุ้นไทยร่วง 30% จากระดับ 1,526 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1,069 จุด โดยกรณีของ "เศรษฐา" พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 ให้เศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากปม แต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งที่พิชิตเคยต้องคำพิพากษาจำคุกหกเดือนฐานละเมิดอำนาจศาล ส่วน "แพทองธาร" นั้น เกิดจากคลิปเสียงคุย “ฮุนเซน” หลุด
สรุปแล้วดัชนีหุ้นไทยปรับตัวร้อนแรงเป็นช่วงที่ “อภิสิทธิ์” พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยพุ่งกระฉูด 145% ถัดมาเป็นสมัย “ทักษิณ” พรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรีหุ้นไทยขึ้น 114.5% และสมัยที่ “ชวน” พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรีหุ้นขึ้น 68.7%
ในทางกลับกันดัชนีลงแรงในช่วงที่สมัย "พล.อ.ชวลิต" พรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีหุ้นไทยดิ่ง 49% สมัยที่ "สมัคร -สมชาย" ์พรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นร่วง 48% สมัย "บรรหาร" พรรคชาติไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีหุ้นไทยร่วง 34% สมัย “เศรษฐา” - “แพทองธาร” พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยร่วงไปแล้ว 30%
โดยทิศทางตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังร้อนแรงจากประเด็นการเมืองที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า หลังจากที่ พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวออกจากรัฐบาลมีเก้าอี้รัฐมนตรีว่าง 8 ที่นั่ง พรรคร่วมรัฐบาลจะได้เก้าอี้เพิ่มเติมตรงกระทรวงไหนบ้าง ซึ่งจากข้อมูลตั้งแต่ 14 พ.ค.-19 มิ.ย.หุ้นไทยลงไปแล้ว 12% ซึ่งเป็นการลงมากสุดในโลก รองลงมาเป็นตลาดหุ้นอาร์เจนตินา ติดลบ 9.7% ตลาดหุ้นซาอุดิอารเบียติดลบ 8% สวนทางหุ้นโลกปรับขึ้น 1.7% และถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น การชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นจะทำให้หุ้นไทยผันผวนหนักในช่วงสั้น
ดังนั้นการลงทุนเน้นหุ้น Defensive คาดกำไรเติบโตในไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3/68 เช่น BH ราคาเป้าหมาย 230 บาท PR9 ราคาเป้าหมาย 31 บาท CPAXT ราคาเป้าหมาย 29.50 บาท
ฝั่ง “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี ประเมิน ฉากทัศน์การเมือง (Political Scenarios) ไว้ 3 สถานการณ์ 1.กรณีนายกฯ ลาออก ตั้ง ครม. ใหม่ กรณีนี้ลดแรงกดดันได้เร็ว แต่ยังมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระยะกลางจากการฟอร์มทีมใหม่ 2. กรณียุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ใน 45-60 วัน นับจากวันยุบสภาฯ SET มีโอกาสฟื้นตัวเร็ว เมื่อเริ่มชัดเจน เป็นกระบวนการ Refresh ตลาดระยะสั้น แต่มีผลกระทบต่องบประมาณปี 2569 ชั่วคราว แม้ช่วยคืนความชัดเจนระยะกลาง 3. กรณี รัฐบาลเดินหน้าต่อ เพื่อพลักดันร่างงบประมาณปี 2569 เดินหน้าด้วยเสียงปริ่มน้ำ < 275 เสียง ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพในสภาฯ สูง จำกัด Upside ของ SET ในระยะสั้น แต่ถ้าผ่านร่างงบประมาณได้ จะสร้างโอกาสด้านเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว
โดยปัจจุบัน อยู่ที่กรณีที่ 3 ประเมิน SET ที่เริ่มสะท้อนความกังวลการเมืองตั้งแต่ 13 พ.ค. และปรับตัวลงแล้วราว -12% สะท้อนความเสี่ยงการเมืองไปพอสมควรแล้ว หากอิงสถิติการเคลื่อนไหวในอดีต ช่วงที่มีสถานการณ์การเมืองที่คล้ายกัน คือ เหตุการณ์ยุบสภา อาทิ 1. ทักษิณ ชินวัตร ยุบสภา ม.ค. - ก.พ. 2006 2. ตุลาการภิวัฒน์ (ศาลตัดสินผลการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ) พ.ค. - มิ.ย.2006 3.รัฐประหาร 19 ก.ย. 2006 4. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา 21 เม.ย. – 6 พ.ค.2011 5.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภา 8 ต.ค.2013- 3 ม.ค.2014 6.รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2014 พบว่า สถิติผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยเฉลี่ย ติดลบ - 9.2%
ดังนั้นระยะสั้น ประเมินแนวรับ SET Index รอบนี้ คือ 1,070-1,056 จุด (SET low ต่ำสุดของปีนี้เมื่อวันที่ 8 เม.ย.) หากสถานการณ์อยู่ในกรอบที่เราประเมิน (กรณี Worst ที่เกิดกลไกนอกเหนือการดำเนินตามเงื่อนไขสภามองราว 1000 จุด) กอปรกับ สถานการณ์ที่ใกล้มีความชัดเจน จากวานนี้ที่เริ่มมีจุดเปลี่ยน ทำให้ประเมิน Risk Sentiment น่าจะอยู่ในขาปลายแล้ว โดยSET ปรับฐาน -12% จากกลางเดือน พ.ค. 68 ถึงระดับต่ำสุดวันนี้ และ มี ERP ปัจจุบัน 5.85% > ค่าเฉลี่ย +2.5SD หรือเพิ่ม 1.16% มากกว่าค่าเฉลี่ยการเมืองในอดีต น่าจะตอบรับไปมากระดับหนึ่ง
โดยแนะนำระยะสั้น เน้นพักเงินบางส่วนในหุ้นกลุ่ม Global Plays (กลุ่มพลังงาน น้ำมัน กลุ่มปิโตรเคมี และส่งออก) เน้น PTTEP, PTT, PTTGC, MINT ที่มี Earnings Visibility และถูกกระทบการเมืองน้อย ผสานทยอยสะสมหุ้น Domestic ที่ตอบรับความเสี่ยงการเมืองไปมาก เน้นกลุ่มที่เป็นแกนขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว อาทิ Infra Tech โรงไฟฟ้า GULF สื่อสาร ADVANC ภาคบริการที่หุ้นมีความมั่นคงสูง ร.พ. BDMS, BCH ค้าปลีก CPALL ท่องเที่ยว CENTEL
ปิดท้ายที่ "บล.หยวนต้า " ระบุว่า การถอนตัวออกจากรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย ทำให้สถานะของรัฐบาลมี ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพมากขึ้น โดยจากการประเมินเบื้องต้นตามข้อมูล ข่าวการเมืองที่เปิดเผยโดยทั่วไป เสียงในสภาฯ มีทั้งสิ้น 495 เสียง การมี เสียงเกินครึ่งสภาฯเพื่อดารงสถานะความเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก คือ ต้องรวมเสียงให้ได้มากกว่า 248 เสียง
แต่หลังจากพรรคภูมิใจไทยถอนตัว ซึ่งมีเสียงราว 69 เสียง ทาให้เสียง ของรัฐบาลลดลงจาก 324 เสียง เหลือราว 255 เสียง ซึ่งถือว่ามีความ เสี่ยงมากเมื่อเทียบกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (ชุดก่อนหน้า) มี 278 เสียง เพราะฉะนั้น ถ้ามีการถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 1 พรรค จาก พรรคที่มีเสียงอย่างมีนัยสาคัญ เช่น รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง, พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง, หรือพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง รัฐบาลจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้าหรือเสียงข้างน้อยทันที ซึ่งจะ บริหารประเทศได้อย่างยากลาบาก เพราะต้องคอยขอเสียงสนับสนุนจาก ฝ่ายค้าน หากต้องการผ่านกฎหมายสาคัญ
ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เราประเมินว่ารัฐบาลมี 3 ทางเลือก คือ 1. บริหารประเทศด้วยเสียงข้างน้อย 2. นาย ก ฯ ลาออก เพื่อสรรหานายกฯ และ จัดตั้ง ครม. ชุดใหม่ผ่าน กระบวนการของสภาฯ 3. นายกฯประกาศยุบสภาฯ เพื่อคืนอานาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้ง
โดยการประเมินผลกระทบด้านปัจจัยการเมืองต่อ SET Index เราอิงที่ความ ชัดเจน ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย ประกอบกับการวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยอิงสถิติที่เกิดขึ้นใน อดีตเป็นสาคัญ
ทางเลือกที่เป็นบวกต่อ SET Index มากที่สุด คือ นายกฯลาออก เพราะใช้เวลาสรรหาสั้น โดยเทียบกรณี "เศรษฐา" พ้นตำแหน่ง 14 ส.ค. 2024 สภาฯสามารถเลือกนายกฯ คนใหม่ได้อย่างรวดเร็วในวันที่ 16 ส.ค. 2024 โดยในส่วนของข้อมูลเชิงสถิติ วันที่ 14 ส.ค. 2024 SET Index ลงไปทำจุดต่ำสุด -1.3% ก่อนจะเด้งขึ้นมาปิดลบเพียง -0.4% และหลังจากนั้น SET Index บวก +3.1% ในช่วง 5 วันทำการ
ทางเลือกที่เป็นลบต่อ SET Index มากที่สุด คือ การบริหารประเทศด้วย เสียงข้างน้อย เพราะจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วยงบประมาณที่จำกัด และ นายกฯมีความเสี่ยงที่จะต้องยุบสภาฯหรือลาออกตามมา หากไม่สามารถ ผ่านกฎหมายสาคัญต่อสภาฯ เช่น พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี
กรณียุบสภาฯเรามองเป็นกลาง สถานการณ์จะนิ่งขึ้น แต่ต้องใช้เวลา เลือกตั้งใหม่ใน 45-60 วัน และแม้รัฐบาลชุดเดิมยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ จนกว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่ แต่การพิจารณางบประมาณปี 2026 หรือการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อาจไม่สามารถดาเนินการได้อย่างเต็มที่ ส่วนสถิติ ต่อ SET Index การยุบสภาฯล่าสุด คือ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 20 มี.ค. 2023 พบว่า SET Index ลงไปทำจุดต่ำสุด -1.3% ก่อนจะเด้งขึ้นมาปิดลบ -0.5% และหลังจากนั้นพลิกมาบวก +2.4% ในช่วง 5 วันทำการ
ดังนั้นประเมินว่า SET Index ที่ Underperform ตลาดหุ้นภูมิภาค ในเดือน มิ.ย. โดย -4.8% MTD เทียบกับ MSCI Asia ex. Japan ที่ +3.7% MTD คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสรุปว่า เป็นเพราะปัจจัยการเมืองในประเทศ ทั้งกรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ การปรับ ครม. ความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล และความขัดแย้งพื้นที่ ชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาพื้นที่ชายแดนที่กระทบ เสถียรภาพของรัฐบาลมากที่สุด ส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาล คือ ภูมิใจไทยประกาศถอนตัว ทำให้เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลลดลงเหลือประมาณ 255 เสียง จาก 324 เสียง ถือเป็นความเสี่ยงด้านเสถียรภาพ เพราะเป็นระดับที่ปริ่มน้าเมื่อเทียบกับ เสียงกึ่งหนึ่งของสภาฯที่ 248 เสียง หากมีพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวเพิ่มเติมจะเข้าสู่เงื่อนไขรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่นำไปสู่การลาออกของนายกฯหรือ การยุบสภาฯทันที
แม้ปัจจัยการเมืองยังกดดัน แต่เราประเมินว่าใกล้ ถึงจุดเปลี่ยนสาคัญ ซึ่งถ้าอิงข้อมูลตามสถิติ ไม่ว่า จะเป็นกรณียุบสภาฯ หรือสรรหานายกฯใหม่ผ่าน กระบวนการสภาฯ SET Index ถูกกระแทกก่อนในช่วงแรก แต่ไม่มากนัก โดยวันที่ประกาศลงไปทำจุดต่าสุด -1.3% ซึ่งมักเป็น Bottom ของรอบนั้น ก่อนจะฟื้นตัวรับข่าวการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเร่งตัวตามมา
ในเชิงของกลยุทธ์การลงทุน ระหว่างรอความ ชัดเจนด้านปัจจัยการเมือง แนะนำสลับเก็งกาไรใน Global Play เช่นพลังงานต้นน้ำ โรงกลั่น ปิโตร เคมี หรือพักเงินใน Defensive Play เช่นกลุ่ม REIT แล้วค่อยกลับมา Buy on fact หุ้นขนาดใหญ่ที่ผลประกอบการ ยังโตดี เมื่อการเมืองเปลี่ยนแปลงชัดเจน ช่น ADVANC, TRUE, CPALL, CPAXT, BDMS, MINT , KBANK , SCB , GULF, GPSC, BEM เป็นต้น
ก้าวย่างต่อไปที่หลายฝ่ายจับตา คงอยู่ที่พรรคเพื่อไทยว่าจะเกลี่ยเก้าอี้ใหม่ให้ลงตัวได้อย่างไร หลังไร้เงาพรรคภูมิใจไทย เพื่อประคองเสถียรภาพรัฐบาลให้ฝ่ามรสุมในขณะนี้ไปให้ได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญความสุ่มเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ ที่พร้อมจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกเมื่อ ดังนั้นการลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุน เกาะติดตลาดใกล้ชิด และอย่าผลีผลามเข้าลงทุน เพราะปัจจัยที่ยืนรออยู่ตรงหน้า พร้อมจะพลิกผันได้ตลอดเวลา....
ที่มาข้อมูล : สัมภาษณ์
ที่มารูปภาพ : Getty Images
นักข่าวอาวุโส ประสบการณ์มากกว่า 25ปี ด้านข่าวการเงิน การคลัง การลงทุน