ย้อนอดีตหุ้นไทย "ยุครัฐบาลไหนรุ่ง-ร่วง" ท่ามกลางการเมืองระอุรอบใหม่

ย้อนอดีตหุ้นไทย "ยุครัฐบาลไหนรุ่ง-ร่วง" ท่ามกลางการเมืองระอุรอบใหม่

เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน หลังจากคลิปสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุน เซน ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยเป็นการสนทนาเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา การปิด-เปิดด่าน ทั้งยังมีการอ้างถึงแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝั่งตรงข้าม ซึ่งต่อมานายกรัฐมนตรีได้มีการแถลงชี้แจงเร่งด่วน ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงจริง ทำให้มีกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยการลาออก  รวมไปถึงท่าทีของพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านออกมาอย่างต่อเนื่อง   ขณะที่ท่าทีพรรคภูมิใจไทยแตกหักกับรัฐบาลประกาศถอยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ทุบหุ้นไทยดิ่งเซ่นปมร้อนการเมือง 3 วันร่วงลงไป 45.95 จุด หรือลดลง 4.13% 

โดยในวันนี้ TNN Online  พาไปย้อนดูดัชนีหุ้นไทยภายใต้การบริหารประเทศของ 10 รัฐบาล ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีรัฐบาลไหนบ้างที่ ดัชนีพุ่งกระฉูด และรัฐบาลไหนบ้างที่ดัชนีหุ้นไทยดิ่ง จากผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมทั้งในประเทศและต่างประเทศ  รวมถึงทิศทางหุ้นไทยสัปดาห์หน้าจะไปต่ออย่างไร และหุ้นตัวไหนที่ยังน่าลงทุน ตามไปส่องกันเลยค่ะ   

 เริ่มจาก “ภราดร  เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส  เล่าย้อนสถิติในอดีต-ปัจจุบันของบุคคลสำคัญที่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและบริหารประเทศถึงการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยพบว่า

สมัย "ชวน  หลีกภัย" พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี  เดือน ก.ย. 1992  บริหารประเทศ 2 ปี 9 เดือน 20 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 68.7% จาก 863 จุด ไปแตะที่ระดับ 1,456 จุด  เนื่องจากเศรษฐกิจไทยบูม และไทย  โดยไทยเคยถูกคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย

  • สมัย "บรรหาร ศิลปอาชา" พรรคชาติไทย เป็นนายกรัฐมนตรี  เดือน ก.ค. 1995 บริหารประเทศ 1 ปี 4 เดือน 12 วัน ดัชนีหุ้นไทยลดลง  34% จากระดับ  1,467 จุด มาอยู่ที่ระดับ 968 จุด  เนื่องจาก ฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยเริ่มปริแตก หลังจากเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี  1990   ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน ปล่อยสินเชื่ออย่างไม่มีวินัย  หนี้เสียเริ่มสะสม  นักลงทุนเริ่มมองว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มเปราะบาง
  • สมัย "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์" พรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน พ.ย. 1996 บริหารประเทศ 11 เดือน 14 วัน  ดัชนีหุ้นไทยลดลง  49% จากระดับ 1,996 จุด มาอยู่ที่ระดับ 543 จุด  โดย ในช่วงกลางปี 1997 ประเทศไทยประสบวิกฤตทางการเงินครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย  ซึ่งวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 รัฐบาล ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท บาทอ่อนค่ารุนแรง ภาระหนี้ต่างประเทศของเอกชนพุ่ง บริษัทจำนวนมากล้มละลาย นักลงทุนต่างชาติ เทขายหุ้นและพันธบัตรส่งผลให้ตลาดหุ้นทรุดหนัก


  •  สมัย "ทักษิณ ชินวัตร" พรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ก.พ. 2001  บริหารประเทศ 5 ปี 7 เดือน 10 วัน  ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 114.5% จากระดับ 327จุด มาอยู่ที่ระดับ 702 จุด  นักลงทุนในตลาดหุ้นตอบรับในเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น   30 บาทรักษาทุกโรค    กองทุนหมู่บ้าน  พักหนี้เกษตรกร และโครงการบ้านเอื้ออาทร
  •  สมัย "พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์" เป็นนายกรัฐมนตรี (ช่วง พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก่อรัฐประหาร) เดือน ต.ค.ปี 2006 บริหารประเทศ 1 ปี 3 เดือน 28 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น  9.7% จาก 688 จุด ไปแตะที่ระดับ 755 จุด


  •  สมัย "สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์" พรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี  เดือนม.ค. ปี 2008  ซึ่งทั้ง 2 คนบริหารประเทศ 10 เดือน 3 วัน หุ้นลง 48% จากระดับ 747 จุด ลงไปสู่ระดับ 387 จุด   โดย สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ (ก.ย. 2008) เพราะจัดรายการทำอาหารในทีวี ขัดรัฐธรรมนูญ  ส่วน สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (PAD) ชุมนุมใหญ่   ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง เป็นเวลา หลายวัน   ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายรุนแรง  การท่องเที่ยวและการลงทุนกระทบหนัก
  •  สมัย "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือนพ.ย. 2008 บริหารประเทศ 2 ปี 7 เดือน 19 วัน หุ้นไทยพุ่ง 145%  จากระดับ 445 จุด ขึ้นไปแตะระดับ 1,093 จุด เนื่องจากเป็นช่วงหมดวิกฤติซัพไพร์ม


  • สมัย "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ส.ค. 2011 บริหารประเทศ 2 ปี 9 เดือน 2 วัน  หุ้นไทยพุ่ง 24.8% ดัชนีเพิ่มขึ้นจาก 1,124 จุด เป็น  1,402 จุด  เป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (ประชานิยมเฟสใหม่) ทั้ง โครงการรับจำนำข้าว ลดภาษีนิติบุคคล แจกแท็บเล็ตนักเรียน รถยนต์คันแรก และเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาหาสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่  
  • สมัย "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี (ช่วงรัฐประหาร)  เดือนส.ค. 2014  บริหารประเทศ  8 ปี 11 เดือน 29 วัน หุ้นไทยร่วง 0.4% จากระดับ 1,551 จุด  ลงมาอยู่ที่ระดับ 1,545 จุด


  • สมัย "เศรษฐา ทวีสิน" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ส.ค. 2023 และ "แพทองธาร ชินวัตร" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ 1 ปี 10 เดือน หุ้นไทยร่วง 30% จากระดับ 1,526 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1,069 จุด  โดยกรณีของ "เศรษฐา" พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 ให้เศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากปม แต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งที่พิชิตเคยต้องคำพิพากษาจำคุกหกเดือนฐานละเมิดอำนาจศาล ส่วน "แพทองธาร" นั้น เกิดจากคลิปเสียงคุย “ฮุนเซน” หลุด

สรุปแล้วดัชนีหุ้นไทยปรับตัวร้อนแรงเป็นช่วงที่ “อภิสิทธิ์” พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยพุ่งกระฉูด 145% ถัดมาเป็นสมัย “ทักษิณ” พรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรีหุ้นไทยขึ้น  114.5% และสมัยที่ “ชวน” พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรีหุ้นขึ้น 68.7%

ในทางกลับกันดัชนีลงแรงในช่วงที่สมัย "พล.อ.ชวลิต" พรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีหุ้นไทยดิ่ง 49%  สมัยที่ "สมัคร -สมชาย" ์พรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นร่วง  48% สมัย "บรรหาร" พรรคชาติไทย  เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีหุ้นไทยร่วง  34% สมัย “เศรษฐา”  - “แพทองธาร” พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยร่วงไปแล้ว  30%

โดยทิศทางตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังร้อนแรงจากประเด็นการเมืองที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า หลังจากที่ พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวออกจากรัฐบาลมีเก้าอี้รัฐมนตรีว่าง 8 ที่นั่ง พรรคร่วมรัฐบาลจะได้เก้าอี้เพิ่มเติมตรงกระทรวงไหนบ้าง ซึ่งจากข้อมูลตั้งแต่ 14 พ.ค.-19 มิ.ย.หุ้นไทยลงไปแล้ว 12%  ซึ่งเป็นการลงมากสุดในโลก รองลงมาเป็นตลาดหุ้นอาร์เจนตินา ติดลบ 9.7% ตลาดหุ้นซาอุดิอารเบียติดลบ 8% สวนทางหุ้นโลกปรับขึ้น 1.7%  และถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น  เช่น การชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นจะทำให้หุ้นไทยผันผวนหนักในช่วงสั้น

ดังนั้นการลงทุนเน้นหุ้น Defensive  คาดกำไรเติบโตในไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3/68 เช่น BH ราคาเป้าหมาย 230  บาท PR9  ราคาเป้าหมาย 31 บาท CPAXT  ราคาเป้าหมาย 29.50 บาท  


สรุปข่าว

เปิดสถิติหุ้นไทยภายใต้ 10 รัฐบาล ดัชนีขึ้นร้อนแรงช่วง“อภิสิทธิ์” พรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี พุ่งกระฉูด 145% ถัดมาสมัย “ทักษิณ” พรรคไทยรัฐไทย หุ้นไทยขึ้น 114.5% ในทางกลับกันดัชนีลงแรงสมัย “พล.อ.ชวลิต” พรรคความหวังใหม่ทิ้งดิ่ง 49% สมัย “เศรษฐา” - “แพทองธาร” พรรคเพื่อไทย หุ้นร่วง 30%

เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน หลังจากคลิปสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุน เซน ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยเป็นการสนทนาเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา การปิด-เปิดด่าน ทั้งยังมีการอ้างถึงแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝั่งตรงข้าม ซึ่งต่อมานายกรัฐมนตรีได้มีการแถลงชี้แจงเร่งด่วน ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงจริง ทำให้มีกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยการลาออก  รวมไปถึงท่าทีของพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านออกมาอย่างต่อเนื่อง   ขณะที่ท่าทีพรรคภูมิใจไทยแตกหักกับรัฐบาลประกาศถอยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ทุบหุ้นไทยดิ่งเซ่นปมร้อนการเมือง 3 วันร่วงลงไป 45.95 จุด หรือลดลง 4.13% 

โดยในวันนี้ TNN Online  พาไปย้อนดูดัชนีหุ้นไทยภายใต้การบริหารประเทศของ 10 รัฐบาล ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีรัฐบาลไหนบ้างที่ ดัชนีพุ่งกระฉูด และรัฐบาลไหนบ้างที่ดัชนีหุ้นไทยดิ่ง จากผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมทั้งในประเทศและต่างประเทศ  รวมถึงทิศทางหุ้นไทยสัปดาห์หน้าจะไปต่ออย่างไร และหุ้นตัวไหนที่ยังน่าลงทุน ตามไปส่องกันเลยค่ะ   

 เริ่มจาก “ภราดร  เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส  เล่าย้อนสถิติในอดีต-ปัจจุบันของบุคคลสำคัญที่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและบริหารประเทศถึงการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยพบว่า

สมัย "ชวน  หลีกภัย" พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี  เดือน ก.ย. 1992  บริหารประเทศ 2 ปี 9 เดือน 20 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 68.7% จาก 863 จุด ไปแตะที่ระดับ 1,456 จุด  เนื่องจากเศรษฐกิจไทยบูม และไทย  โดยไทยเคยถูกคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย

  • สมัย "บรรหาร ศิลปอาชา" พรรคชาติไทย เป็นนายกรัฐมนตรี  เดือน ก.ค. 1995 บริหารประเทศ 1 ปี 4 เดือน 12 วัน ดัชนีหุ้นไทยลดลง  34% จากระดับ  1,467 จุด มาอยู่ที่ระดับ 968 จุด  เนื่องจาก ฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยเริ่มปริแตก หลังจากเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี  1990   ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน ปล่อยสินเชื่ออย่างไม่มีวินัย  หนี้เสียเริ่มสะสม  นักลงทุนเริ่มมองว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มเปราะบาง
  • สมัย "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์" พรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน พ.ย. 1996 บริหารประเทศ 11 เดือน 14 วัน  ดัชนีหุ้นไทยลดลง  49% จากระดับ 1,996 จุด มาอยู่ที่ระดับ 543 จุด  โดย ในช่วงกลางปี 1997 ประเทศไทยประสบวิกฤตทางการเงินครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย  ซึ่งวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 รัฐบาล ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท บาทอ่อนค่ารุนแรง ภาระหนี้ต่างประเทศของเอกชนพุ่ง บริษัทจำนวนมากล้มละลาย นักลงทุนต่างชาติ เทขายหุ้นและพันธบัตรส่งผลให้ตลาดหุ้นทรุดหนัก


  •  สมัย "ทักษิณ ชินวัตร" พรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ก.พ. 2001  บริหารประเทศ 5 ปี 7 เดือน 10 วัน  ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 114.5% จากระดับ 327จุด มาอยู่ที่ระดับ 702 จุด  นักลงทุนในตลาดหุ้นตอบรับในเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น   30 บาทรักษาทุกโรค    กองทุนหมู่บ้าน  พักหนี้เกษตรกร และโครงการบ้านเอื้ออาทร
  •  สมัย "พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์" เป็นนายกรัฐมนตรี (ช่วง พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก่อรัฐประหาร) เดือน ต.ค.ปี 2006 บริหารประเทศ 1 ปี 3 เดือน 28 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น  9.7% จาก 688 จุด ไปแตะที่ระดับ 755 จุด


  •  สมัย "สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์" พรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี  เดือนม.ค. ปี 2008  ซึ่งทั้ง 2 คนบริหารประเทศ 10 เดือน 3 วัน หุ้นลง 48% จากระดับ 747 จุด ลงไปสู่ระดับ 387 จุด   โดย สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ (ก.ย. 2008) เพราะจัดรายการทำอาหารในทีวี ขัดรัฐธรรมนูญ  ส่วน สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (PAD) ชุมนุมใหญ่   ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง เป็นเวลา หลายวัน   ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายรุนแรง  การท่องเที่ยวและการลงทุนกระทบหนัก
  •  สมัย "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือนพ.ย. 2008 บริหารประเทศ 2 ปี 7 เดือน 19 วัน หุ้นไทยพุ่ง 145%  จากระดับ 445 จุด ขึ้นไปแตะระดับ 1,093 จุด เนื่องจากเป็นช่วงหมดวิกฤติซัพไพร์ม


  • สมัย "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ส.ค. 2011 บริหารประเทศ 2 ปี 9 เดือน 2 วัน  หุ้นไทยพุ่ง 24.8% ดัชนีเพิ่มขึ้นจาก 1,124 จุด เป็น  1,402 จุด  เป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (ประชานิยมเฟสใหม่) ทั้ง โครงการรับจำนำข้าว ลดภาษีนิติบุคคล แจกแท็บเล็ตนักเรียน รถยนต์คันแรก และเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาหาสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่  
  • สมัย "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี (ช่วงรัฐประหาร)  เดือนส.ค. 2014  บริหารประเทศ  8 ปี 11 เดือน 29 วัน หุ้นไทยร่วง 0.4% จากระดับ 1,551 จุด  ลงมาอยู่ที่ระดับ 1,545 จุด


  • สมัย "เศรษฐา ทวีสิน" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ส.ค. 2023 และ "แพทองธาร ชินวัตร" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ 1 ปี 10 เดือน หุ้นไทยร่วง 30% จากระดับ 1,526 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1,069 จุด  โดยกรณีของ "เศรษฐา" พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 ให้เศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากปม แต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งที่พิชิตเคยต้องคำพิพากษาจำคุกหกเดือนฐานละเมิดอำนาจศาล ส่วน "แพทองธาร" นั้น เกิดจากคลิปเสียงคุย “ฮุนเซน” หลุด

สรุปแล้วดัชนีหุ้นไทยปรับตัวร้อนแรงเป็นช่วงที่ “อภิสิทธิ์” พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยพุ่งกระฉูด 145% ถัดมาเป็นสมัย “ทักษิณ” พรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรีหุ้นไทยขึ้น  114.5% และสมัยที่ “ชวน” พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรีหุ้นขึ้น 68.7%

ในทางกลับกันดัชนีลงแรงในช่วงที่สมัย "พล.อ.ชวลิต" พรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีหุ้นไทยดิ่ง 49%  สมัยที่ "สมัคร -สมชาย" ์พรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นร่วง  48% สมัย "บรรหาร" พรรคชาติไทย  เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีหุ้นไทยร่วง  34% สมัย “เศรษฐา”  - “แพทองธาร” พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยร่วงไปแล้ว  30%

โดยทิศทางตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังร้อนแรงจากประเด็นการเมืองที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า หลังจากที่ พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวออกจากรัฐบาลมีเก้าอี้รัฐมนตรีว่าง 8 ที่นั่ง พรรคร่วมรัฐบาลจะได้เก้าอี้เพิ่มเติมตรงกระทรวงไหนบ้าง ซึ่งจากข้อมูลตั้งแต่ 14 พ.ค.-19 มิ.ย.หุ้นไทยลงไปแล้ว 12%  ซึ่งเป็นการลงมากสุดในโลก รองลงมาเป็นตลาดหุ้นอาร์เจนตินา ติดลบ 9.7% ตลาดหุ้นซาอุดิอารเบียติดลบ 8% สวนทางหุ้นโลกปรับขึ้น 1.7%  และถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น  เช่น การชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นจะทำให้หุ้นไทยผันผวนหนักในช่วงสั้น

ดังนั้นการลงทุนเน้นหุ้น Defensive  คาดกำไรเติบโตในไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3/68 เช่น BH ราคาเป้าหมาย 230  บาท PR9  ราคาเป้าหมาย 31 บาท CPAXT  ราคาเป้าหมาย 29.50 บาท  


ฝั่ง ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย  บล.กรุงศรี  ประเมิน ฉากทัศน์การเมือง (Political Scenarios)  ไว้ 3 สถานการณ์ 1.กรณีนายกฯ ลาออก ตั้ง ครม. ใหม่    กรณีนี้ลดแรงกดดันได้เร็ว แต่ยังมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระยะกลางจากการฟอร์มทีมใหม่ 2. กรณียุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ใน 45-60 วัน นับจากวันยุบสภาฯ  SET มีโอกาสฟื้นตัวเร็ว เมื่อเริ่มชัดเจน เป็นกระบวนการ Refresh ตลาดระยะสั้น   แต่มีผลกระทบต่องบประมาณปี 2569 ชั่วคราว แม้ช่วยคืนความชัดเจนระยะกลาง 3. กรณี รัฐบาลเดินหน้าต่อ เพื่อพลักดันร่างงบประมาณปี 2569 เดินหน้าด้วยเสียงปริ่มน้ำ < 275 เสียง ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพในสภาฯ สูง จำกัด Upside ของ SET ในระยะสั้น แต่ถ้าผ่านร่างงบประมาณได้ จะสร้างโอกาสด้านเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว  

โดยปัจจุบัน อยู่ที่กรณีที่ 3 ประเมิน SET ที่เริ่มสะท้อนความกังวลการเมืองตั้งแต่ 13 พ.ค. และปรับตัวลงแล้วราว -12% สะท้อนความเสี่ยงการเมืองไปพอสมควรแล้ว หากอิงสถิติการเคลื่อนไหวในอดีต ช่วงที่มีสถานการณ์การเมืองที่คล้ายกัน คือ เหตุการณ์ยุบสภา อาทิ  1. ทักษิณ ชินวัตร ยุบสภา ม.ค. - ก.พ. 2006  2. ตุลาการภิวัฒน์ (ศาลตัดสินผลการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ) พ.ค. - มิ.ย.2006    3.รัฐประหาร 19 ก.ย. 2006  4.  อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา 21 เม.ย. – 6 พ.ค.2011  5.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภา 8 ต.ค.2013- 3 ม.ค.2014   6.รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2014  พบว่า สถิติผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยเฉลี่ย ติดลบ - 9.2%  

ดังนั้นระยะสั้น ประเมินแนวรับ SET Index รอบนี้ คือ 1,070-1,056 จุด (SET low ต่ำสุดของปีนี้เมื่อวันที่ 8 เม.ย.) หากสถานการณ์อยู่ในกรอบที่เราประเมิน (กรณี Worst ที่เกิดกลไกนอกเหนือการดำเนินตามเงื่อนไขสภามองราว 1000 จุด)    กอปรกับ สถานการณ์ที่ใกล้มีความชัดเจน จากวานนี้ที่เริ่มมีจุดเปลี่ยน ทำให้ประเมิน Risk Sentiment น่าจะอยู่ในขาปลายแล้ว  โดยSET ปรับฐาน -12% จากกลางเดือน พ.ค. 68 ถึงระดับต่ำสุดวันนี้ และ มี ERP ปัจจุบัน 5.85% > ค่าเฉลี่ย +2.5SD หรือเพิ่ม 1.16% มากกว่าค่าเฉลี่ยการเมืองในอดีต น่าจะตอบรับไปมากระดับหนึ่ง 

 โดยแนะนำระยะสั้น เน้นพักเงินบางส่วนในหุ้นกลุ่ม Global Plays  (กลุ่มพลังงาน น้ำมัน กลุ่มปิโตรเคมี และส่งออก)  เน้น PTTEP, PTT, PTTGC, MINT ที่มี  Earnings Visibility และถูกกระทบการเมืองน้อย  ผสานทยอยสะสมหุ้น Domestic ที่ตอบรับความเสี่ยงการเมืองไปมาก เน้นกลุ่มที่เป็นแกนขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว อาทิ Infra Tech โรงไฟฟ้า GULF สื่อสาร ADVANC ภาคบริการที่หุ้นมีความมั่นคงสูง ร.พ. BDMS, BCH ค้าปลีก CPALL ท่องเที่ยว CENTEL

ปิดท้ายที่ "บล.หยวนต้า ระบุว่า การถอนตัวออกจากรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย ทำให้สถานะของรัฐบาลมี ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพมากขึ้น โดยจากการประเมินเบื้องต้นตามข้อมูล ข่าวการเมืองที่เปิดเผยโดยทั่วไป เสียงในสภาฯ มีทั้งสิ้น 495 เสียง การมี เสียงเกินครึ่งสภาฯเพื่อดารงสถานะความเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก คือ ต้องรวมเสียงให้ได้มากกว่า 248 เสียง 

แต่หลังจากพรรคภูมิใจไทยถอนตัว ซึ่งมีเสียงราว 69 เสียง ทาให้เสียง ของรัฐบาลลดลงจาก 324 เสียง เหลือราว 255 เสียง ซึ่งถือว่ามีความ เสี่ยงมากเมื่อเทียบกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (ชุดก่อนหน้า) มี 278 เสียง เพราะฉะนั้น ถ้ามีการถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 1 พรรค จาก พรรคที่มีเสียงอย่างมีนัยสาคัญ เช่น รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง, พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง, หรือพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง รัฐบาลจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้าหรือเสียงข้างน้อยทันที ซึ่งจะ บริหารประเทศได้อย่างยากลาบาก เพราะต้องคอยขอเสียงสนับสนุนจาก ฝ่ายค้าน หากต้องการผ่านกฎหมายสาคัญ 

ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เราประเมินว่ารัฐบาลมี 3 ทางเลือก คือ 1. บริหารประเทศด้วยเสียงข้างน้อย  2. นาย ก ฯ ลาออก เพื่อสรรหานายกฯ และ จัดตั้ง ครม. ชุดใหม่ผ่าน กระบวนการของสภาฯ 3. นายกฯประกาศยุบสภาฯ เพื่อคืนอานาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้ง  

โดยการประเมินผลกระทบด้านปัจจัยการเมืองต่อ SET Index เราอิงที่ความ ชัดเจน ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย ประกอบกับการวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยอิงสถิติที่เกิดขึ้นใน อดีตเป็นสาคัญ 

ทางเลือกที่เป็นบวกต่อ SET Index มากที่สุด คือ นายกฯลาออก เพราะใช้เวลาสรรหาสั้น โดยเทียบกรณี "เศรษฐา" พ้นตำแหน่ง 14 ส.ค. 2024 สภาฯสามารถเลือกนายกฯ คนใหม่ได้อย่างรวดเร็วในวันที่ 16 ส.ค. 2024 โดยในส่วนของข้อมูลเชิงสถิติ วันที่ 14 ส.ค. 2024 SET Index ลงไปทำจุดต่ำสุด -1.3% ก่อนจะเด้งขึ้นมาปิดลบเพียง -0.4% และหลังจากนั้น SET Index บวก +3.1% ในช่วง 5 วันทำการ 

ทางเลือกที่เป็นลบต่อ SET Index มากที่สุด คือ การบริหารประเทศด้วย เสียงข้างน้อย เพราะจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วยงบประมาณที่จำกัด และ นายกฯมีความเสี่ยงที่จะต้องยุบสภาฯหรือลาออกตามมา หากไม่สามารถ ผ่านกฎหมายสาคัญต่อสภาฯ เช่น พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 

กรณียุบสภาฯเรามองเป็นกลาง สถานการณ์จะนิ่งขึ้น แต่ต้องใช้เวลา เลือกตั้งใหม่ใน 45-60 วัน และแม้รัฐบาลชุดเดิมยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ จนกว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่ แต่การพิจารณางบประมาณปี 2026 หรือการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อาจไม่สามารถดาเนินการได้อย่างเต็มที่ ส่วนสถิติ ต่อ SET Index การยุบสภาฯล่าสุด คือ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 20 มี.ค. 2023 พบว่า SET Index ลงไปทำจุดต่ำสุด -1.3% ก่อนจะเด้งขึ้นมาปิดลบ -0.5% และหลังจากนั้นพลิกมาบวก +2.4% ในช่วง 5 วันทำการ

ดังนั้นประเมินว่า SET Index ที่ Underperform ตลาดหุ้นภูมิภาค ในเดือน มิ.ย. โดย -4.8% MTD เทียบกับ MSCI Asia ex. Japan ที่ +3.7% MTD คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสรุปว่า  เป็นเพราะปัจจัยการเมืองในประเทศ ทั้งกรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ การปรับ ครม. ความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล และความขัดแย้งพื้นที่ ชายแดนไทย-กัมพูชา 

โดยเฉพาะการแก้ปัญหาพื้นที่ชายแดนที่กระทบ เสถียรภาพของรัฐบาลมากที่สุด ส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาล คือ ภูมิใจไทยประกาศถอนตัว ทำให้เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลลดลงเหลือประมาณ 255 เสียง จาก 324 เสียง ถือเป็นความเสี่ยงด้านเสถียรภาพ เพราะเป็นระดับที่ปริ่มน้าเมื่อเทียบกับ เสียงกึ่งหนึ่งของสภาฯที่ 248 เสียง หากมีพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวเพิ่มเติมจะเข้าสู่เงื่อนไขรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่นำไปสู่การลาออกของนายกฯหรือ การยุบสภาฯทันที 

แม้ปัจจัยการเมืองยังกดดัน แต่เราประเมินว่าใกล้ ถึงจุดเปลี่ยนสาคัญ ซึ่งถ้าอิงข้อมูลตามสถิติ ไม่ว่า จะเป็นกรณียุบสภาฯ หรือสรรหานายกฯใหม่ผ่าน กระบวนการสภาฯ SET Index ถูกกระแทกก่อนในช่วงแรก แต่ไม่มากนัก โดยวันที่ประกาศลงไปทำจุดต่าสุด -1.3% ซึ่งมักเป็น Bottom ของรอบนั้น ก่อนจะฟื้นตัวรับข่าวการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเร่งตัวตามมา

ในเชิงของกลยุทธ์การลงทุน ระหว่างรอความ ชัดเจนด้านปัจจัยการเมือง แนะนำสลับเก็งกาไรใน Global Play เช่นพลังงานต้นน้ำ โรงกลั่น ปิโตร เคมี หรือพักเงินใน Defensive Play เช่นกลุ่ม REIT แล้วค่อยกลับมา Buy on fact หุ้นขนาดใหญ่ที่ผลประกอบการ ยังโตดี เมื่อการเมืองเปลี่ยนแปลงชัดเจน ช่น ADVANC, TRUECPALLCPAXTBDMS, MINT , KBANK , SCB , GULF, GPSC, BEM เป็นต้น

ก้าวย่างต่อไปที่หลายฝ่ายจับตา คงอยู่ที่พรรคเพื่อไทยว่าจะเกลี่ยเก้าอี้ใหม่ให้ลงตัวได้อย่างไร หลังไร้เงาพรรคภูมิใจไทย เพื่อประคองเสถียรภาพรัฐบาลให้ฝ่ามรสุมในขณะนี้ไปให้ได้  ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญความสุ่มเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ ที่พร้อมจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกเมื่อ ดังนั้นการลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุน เกาะติดตลาดใกล้ชิด และอย่าผลีผลามเข้าลงทุน เพราะปัจจัยที่ยืนรออยู่ตรงหน้า พร้อมจะพลิกผันได้ตลอดเวลา....

ที่มาข้อมูล : สัมภาษณ์

ที่มารูปภาพ : Getty Images

นักข่าวอาวุโส ประสบการณ์มากกว่า 25ปี ด้านข่าวการเงิน การคลัง การลงทุน