
ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่กำลังร้อนแรง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากหลายพรรคการเมืองและสังคม ภายหลังการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนากับอดีตผู้นำกัมพูชา จุดกระแสเรียกร้องให้เธอลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ หากเธอเลือกทางนั้นจริง การเมืองไทยจะเดินเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนตัวผู้นำภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่วางเงื่อนไขไว้ค่อนข้างชัดเจน
คำถามสำคัญคือ หากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่างลง ใครมีสิทธิเข้าสู่สนามแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำประเทศคนต่อไป? คำตอบไม่ได้เปิดกว้างสำหรับทุกคน แต่จำกัดเฉพาะรายชื่อในบัญชีแคนดิเดตที่พรรคการเมืองเสนอไว้ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งต้องผ่านเกณฑ์ด้านจำนวน สส. และเสียงรับรองในสภา บทความนี้จะพาไปสำรวจชื่อที่ยังมีสิทธิ์ถูกเสนอ และวิเคราะห์โอกาสในการชิงตำแหน่งหากเกิดการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีในเร็ววันนี้
สรุปข่าว
ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่กำลังร้อนแรง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากหลายพรรคการเมืองและสังคม ภายหลังการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนากับอดีตผู้นำกัมพูชา จุดกระแสเรียกร้องให้เธอลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ หากเธอเลือกทางนั้นจริง การเมืองไทยจะเดินเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนตัวผู้นำภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่วางเงื่อนไขไว้ค่อนข้างชัดเจน
คำถามสำคัญคือ หากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่างลง ใครมีสิทธิเข้าสู่สนามแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำประเทศคนต่อไป? คำตอบไม่ได้เปิดกว้างสำหรับทุกคน แต่จำกัดเฉพาะรายชื่อในบัญชีแคนดิเดตที่พรรคการเมืองเสนอไว้ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งต้องผ่านเกณฑ์ด้านจำนวน สส. และเสียงรับรองในสภา บทความนี้จะพาไปสำรวจชื่อที่ยังมีสิทธิ์ถูกเสนอ และวิเคราะห์โอกาสในการชิงตำแหน่งหากเกิดการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีในเร็ววันนี้
หาก “แพทองธาร” ลาออก ใครมีสิทธิเข้าชิงนายกฯ?
4 รายชื่อที่เข้าเกณฑ์เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
จากบัญชีรายชื่อที่ยังมีผลอยู่ในปัจจุบัน พบว่ามี 4 บุคคลที่มีโอกาสถูกเสนอชื่อโดยชอบตามกฎหมาย ได้แก่
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
- นายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทย
- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรครวมไทยสร้างชาติ
- นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ
แม้ในบัญชีของพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์จะมีชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ตามลำดับ แต่ทั้งสองพรรคมีจำนวน สส. ไม่ถึง 25 คน จึงไม่สามารถเสนอชื่อบุคคลเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการได้
ขั้นตอนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่: เกมต่อรองในสภา
หากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างลง ไม่ว่าจะจากการลาออกหรือเหตุผลใดก็ตาม กระบวนการตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้รับผิดชอบในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยการเสนอชื่อจะจำกัดอยู่เฉพาะบุคคลที่เคยอยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมือง ที่ยื่นไว้ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถเสนอชื่อใหม่จากนอกบัญชีได้ในรอบนี้
การเสนอชื่อจะต้องมาจากพรรคการเมืองที่มี สส. อย่างน้อย 25 คน และผู้ที่ถูกเสนอชื่อจะต้องมี สส. อย่างน้อย 50 คนลงชื่อรับรองก่อนเข้าสู่ขั้นตอนลงมติในสภา จากนั้นจะเป็นการลงคะแนนโดยเปิดเผยของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 500 คน โดยผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกมากกว่ากึ่งหนึ่ง หรืออย่างน้อย 251 เสียง
กระบวนการนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของตัวบุคคล แต่เป็นการเจรจาต่อรองเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างพรรคการเมือง เพื่อจัดตั้ง “เสียงข้างมากใหม่” ในสภา พรรคที่มีจำนวน ส.ส. ไม่มากพอจึงจำเป็นต้องสร้างพันธมิตร ขณะที่พรรคใหญ่ก็ต้องคำนึงถึงการยอมรับจากพรรคร่วม หากไม่สามารถรวบรวมเสียงเกินครึ่งได้ ก็อาจเกิดภาวะชะงักงันทางการเมือง หรือถึงขั้นต้องยุบสภาเพื่อกลับไปสู่การเลือกตั้งใหม่
ดังนั้น การเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่ใช่เพียงพิธีการในรัฐสภา แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการจัดระเบียบอำนาจทางการเมืองครั้งใหม่ ซึ่งอาจเปลี่ยนสมดุลของรัฐบาลในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด.
------
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างยังขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ว่าเธอจะยืนหยัดต่อสู้ในตำแหน่งผู้นำต่อไป หรือเลือกเดินลงจากเวทีเพื่อคลี่คลายแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา การเมืองไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้จึงยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ผู้นำหญิงของประเทศจะตัดสินใจอย่างไรในวันข้างหน้า.
บรรณาธิการออนไลน์