
ตำรวจภูธรภาค 1 ยึดยาบ้า 8.7 ล้านเม็ด ไอซ์ 720 กก. ในอยุธยา ขยายผลจากคดีเทรลเลอร์นครสวรรค์ เชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์รัฐตัดวงจรพักยา
ปราบยาเสพติดเชิงรุกกลางภาค 1 เมื่อสถิติจับจริงเชื่อมโยงนโยบายรัฐ
ภายใต้บริบทที่การลำเลียงยาเสพติดในประเทศไทยเปลี่ยนรูปแบบอยู่ตลอดเวลา ตำรวจภูธรภาค 1 ได้ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลในการ “กัดไม่ปล่อย” ต่อเครือข่ายค้ายา ด้วยการใช้กลไกการสืบสวนเชิงพื้นที่ ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง นำไปสู่การตรวจยึดของกลางล็อตใหญ่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568
สรุปข่าว
ตำรวจภูธรภาค 1 ยึดยาบ้า 8.7 ล้านเม็ด ไอซ์ 720 กก. ในอยุธยา ขยายผลจากคดีเทรลเลอร์นครสวรรค์ เชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์รัฐตัดวงจรพักยา
ปราบยาเสพติดเชิงรุกกลางภาค 1 เมื่อสถิติจับจริงเชื่อมโยงนโยบายรัฐ
ภายใต้บริบทที่การลำเลียงยาเสพติดในประเทศไทยเปลี่ยนรูปแบบอยู่ตลอดเวลา ตำรวจภูธรภาค 1 ได้ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลในการ “กัดไม่ปล่อย” ต่อเครือข่ายค้ายา ด้วยการใช้กลไกการสืบสวนเชิงพื้นที่ ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง นำไปสู่การตรวจยึดของกลางล็อตใหญ่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568
การจับกุมในครั้งนี้เริ่มต้นจากปฏิบัติการสืบสวนหลังจากตำรวจตรวจพบบรรทุกยาเสพติดบนรถเทรลเลอร์ในพื้นที่อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันขยายผล จนพบว่ากลุ่มลูกค้ารับยาจากรถคันดังกล่าวได้นำยาเสพติดมาซุกซ่อนไว้ในบ้านพักแห่งหนึ่งในอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หลังจากเฝ้าติดตามพฤติกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ตำรวจจึงสนธิกำลังเข้าตรวจค้นในเวลา 06.10 น. ของวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 และพบของกลางเป็นยาบ้าจำนวน 8,732,000 เม็ด บรรจุใน 40 กระสอบ และไอซ์น้ำหนักรวม 720 กิโลกรัม บรรจุใน 18 กระสอบ พร้อมควบคุมตัวผู้ต้องหา 1 ราย อายุ 32 ปี
ตัวเลขสถิติชัดเจน บ่งชี้ขอบเขตการปฏิบัติที่ครอบคลุม
ผลการดำเนินงานของตำรวจภูธรภาค 1 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 7 พฤษภาคม 2568 แสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นของการปราบปรามเชิงรุก โดยมีคดีเกี่ยวกับยาเสพติดทั้งสิ้น 7,961 คดี มีผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีรวม 8,100 ราย ตรวจยึดยาบ้ารวมกว่า 96 ล้านเม็ด ไอซ์กว่า 3,496 กิโลกรัม เคตามีน 42 กิโลกรัม พร้อมของกลางอื่นๆ อีกหลายรายการ
นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 389 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของการลดแรงจูงใจในเครือข่าย
เชื่อมกลยุทธ์ภาครัฐ กับการปิดทางพักยาในพื้นที่ตอนใน
พื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะจังหวัดที่มีระบบคมนาคมสะดวก เช่น พระนครศรีอยุธยา เริ่มมีความสำคัญในฐานะจุดพักยา ก่อนลำเลียงลงสู่ภาคใต้ ซึ่งรัฐบาลได้วางยุทธศาสตร์ควบคุมพื้นที่ลักษณะนี้อย่างจริงจัง โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมาดูแลโดยตรง
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนในและสกัดกั้นการลำเลียงลงภาคใต้ ขณะที่ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบในระดับอนุกรรมการ
แนวทางนี้สนับสนุนเป้าหมายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้การปราบปรามยาเสพติดก้าวข้ามจากการไล่จับรายวัน ไปสู่การทำลายโครงสร้างเครือข่ายอย่างเป็นระบบ ทั้งด้านคน เงิน และเส้นทาง
ข้อพิจารณาเพิ่มเติม ขยายผลและเสถียรภาพการข่าว
แม้ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา แต่การสืบสวนยังไม่จบเพียงเท่านี้ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการ ซึ่งอาจมีหลายระดับ ตั้งแต่ผู้สั่งการในพื้นที่ ไปจนถึงเครือข่ายที่ลำเลียงมาจากภาคเหนือ
อีกประเด็นที่ต้องจับตา คือความสามารถในการผนึกกำลังกับหน่วยงานด้านข่าวกรองการเงิน เพื่อติดตามเส้นทางการฟอกเงินที่อาจมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายยาเสพติด โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจแฝง ที่มีการอำพรางธุรกิจผิดกฎหมายไว้ภายใต้โครงสร้างทางการค้าถูกต้อง
การจับกุมครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะหน้า แต่เกิดขึ้นภายใต้การขับเคลื่อนตามแผนปราบปรามยาเสพติดเชิงรุกของรัฐบาล ซึ่งเน้นผลลัพธ์ในระยะยาว ทั้งการลดการแพร่ระบาดของยาเสพติด การยึดทรัพย์เครือข่าย และการจำกัดเส้นทางพักยาในภาคกลาง
บทบาทของตำรวจภูธรภาค 1 ในการเชื่อมรอยต่อระหว่างพื้นที่ภาคเหนือกับตอนกลาง กลายเป็นกลไกสำคัญที่จะตัดวงจรการลำเลียง ก่อนที่ยาเสพติดจะทะลุลงสู่ภาคใต้ ซึ่งยังเป็นเป้าหมายการกระจายรายใหญ่ของประเทศ
ที่มาข้อมูล : TNN
ที่มารูปภาพ : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
บรรณาธิการออนไลน์