
โหวตโนสะท้อนวิกฤตศรัทธาการเมืองท้องถิ่น เมื่อประชาชนเลือกที่จะ 'ไม่เลือก'
การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ได้สร้างปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนวงการการเมืองท้องถิ่น เมื่อยอดบัตรไม่เลือกผู้ใด หรือ "โหวตโน" พุ่งสูงถึง 1.15 ล้านใบ คิดเป็น 7.08% ของผู้มาใช้สิทธิ ในขณะที่มีผู้มาใช้สิทธิโดยรวมอยู่ที่ 16.36 ล้านคน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 27.99 ล้านคน หรือ 58.45% ต่ำกว่าเป้าหมายที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งไว้ที่ 65%
ภาพรวมการเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตรดี 14.27 ล้านใบ คิดเป็น 87.23% บัตรเสีย 931,290 ใบ คิดเป็น 5.69% และบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 1.15 ล้านใบ คิดเป็น 7.08% โดยจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ลำพูน (73.43%) นครนายก (73.00%) พัทลุง (72.56%) นราธิวาส (68.42%) และมุกดาหาร (68.03%)
สถิติที่น่าสนใจพบในหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดนครราชสีมาที่มีบัตรไม่เลือกผู้ใดสูงถึง 110,934 ใบ (9.60%) จังหวัดสงขลามีบัตรไม่เลือกผู้ใด 86,855 ใบ (12.63%) และจังหวัดยะลามีบัตรไม่เลือกผู้ใด 29,334 ใบ (13.05%) แต่ที่น่าจับตามองที่สุดคือจังหวัดตรัง ซึ่งทำสถิติโหวตโนสูงสุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งท้องถิ่นของจังหวัดที่ 115,703 คะแนน หรือ 17.75% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ตรัง เขต 2 อำเภอเมือง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาตาล่วงและบางส่วนของเทศบาลนครตรัง ผลการนับคะแนนปรากฏว่า มีผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือ "โหวตโน" จำนวน 2,687 คะแนน สูงกว่าผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดอย่างนายบุญโชติ ฟุกล่อย ผู้สมัครจากทีมนายกบุ่นเล้งที่ได้ 2,577 คะแนน (ทิ้งห่าง 110 คะแนน) ตามด้วยนายจงเกียรติ ตั้งพิทยาเวศย์ ที่ได้ 2,254 คะแนน และนายสุทัศน์ จันทร์สว่าง ที่ได้ 1,598 คะแนน
เนื่องจากไม่มีผู้สมัครรายใดได้คะแนนมากกว่าคะแนนโหวตโน กกต.จังหวัดตรังจึงประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยจะเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 10-14 กุมภาพันธ์ 2568 และกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 16 มีนาคม 2568
ทั้งนี้ ตามกฎหมายเลือกตั้ง ผู้สมัครเดิมทั้ง 3 คนจะไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งใหม่ได้อีก และหากการเลือกตั้งครั้งที่สองยังมีผู้แพ้คะแนนโหวตโนอีก กฎหมายกำหนดให้ปล่อยตำแหน่งว่างได้โดยไม่ต้องจัดเลือกตั้งครั้งที่สาม
ส่วน การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) สุพรรณบุรี เขต 1 อำเภอเมือง ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากนายภูษิต รุ่งโรจน์ชัยพร ผู้สมัครในตำแหน่งนี้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้บ้านเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากเลือกที่จะไม่ลงคะแนนให้ผู้สมัครรายอื่น จนทำให้คะแนน "โหวตโน" สูงกว่าคะแนนของผู้สมัครที่เหลือ
สรุปแล้ว ผลการเลือกตั้งทั้งหมดนี้ นำไปสู่การจัดเลือกตั้งใหม่ใน 4 เขตจาก 4 จังหวัด ได้แก่ เขต 1 อำเภอเมืองสุพรรณบุรี เนื่องจากผู้สมัครเดิมเสียชีวิต เขต 2 อำเภอเมืองตรัง ที่โหวตโนชนะผู้สมัคร เขต 4 อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ที่มีคะแนนโหวตโนสูงกว่าผู้สมัคร และเขต 1 อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ที่ไม่มีผู้สมัครเนื่องจากถูกตัดสิทธิ์ ทั้งหมดจะจัดการเลือกตั้งใหม่พร้อมกันในวันที่ 16 มีนาคม 2568
อีกหนึ่งกรณีที่น่าสนใจ คือ จังหวัดสิงห์บุรี เนื่องจากมีผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพียงคนเดียว คือ นายศุภวัฒน์ เทียนถาวร ซึ่งตามกฎหมายการเลือกตั้งท้องถิ่น แม้จะมีผู้สมัครเพียงคนเดียว ผู้สมัครรายนั้นก็ไม่ได้ชนะการเลือกตั้งโดยอัตโนมัติ แต่จะต้องผ่านเงื่อนไขสำคัญสองประการ คือ ต้องได้คะแนนเสียงมากกว่า 10% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด และต้องได้คะแนนมากกว่าจำนวนบัตรที่ไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือ "โหวตโน" ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า นายศุภวัฒน์ ได้รับคะแนนเสียงมากกว่าทั้งสองเกณฑ์ที่กำหนด จึงได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สิงห์บุรี กลไกนี้จึงแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีผู้สมัครเพียงคนเดียว แต่ประชาชนยังมีสิทธิ์ตัดสินใจผ่านการลงคะแนน "โหวตโน" ได้

สรุปข่าว
"ปรากฏการณ์ 'โหวตโน' บ่งชี้ความท้าทายของระบบการเมืองท้องถิ่นไทยในหลายมิติ
ประการแรก การเลือกตั้งครั้งนี้แสดงให้เห็นความอ่อนล้าของประชาชนต่อการผูกขาดอำนาจทางการเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะจากกลุ่มนักการเมืองหน้าเดิมที่หมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันมาอย่างยาวนาน จังหวัดตรังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เมื่อมีคะแนนไม่เลือกผู้ใดสูงถึง 17.75% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งท้องถิ่นของจังหวัด เช่นเดียวกับจังหวัดยะลาและสงขลาที่มีคะแนนไม่เลือกผู้ใดสูงถึง 13.05% และ 12.63% ตามลำดับ ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกความต้องการผู้บริหารท้องถิ่นที่มีวิสัยทัศน์และผลงานที่โดดเด่นมากขึ้น
ประการที่สอง ความซ้ำซ้อนของอำนาจหน้าที่ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะระหว่าง อบจ. กับเทศบาล ที่มีพื้นที่รับผิดชอบทับซ้อนกัน ทำให้บทบาทของ อบจ. เลือนลางในสายตาประชาชน ประเด็นนี้เห็นได้ชัดจากตัวเลขผู้มาใช้สิทธิในเขตเทศบาลที่ต่ำกว่าพื้นที่ชนบทอย่างมีนัยสำคัญ
ประการที่สาม การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนอยู่ในระดับต่ำ จำนวนผู้มาใช้สิทธิทั่วประเทศอยู่ที่ 58.45% ไม่ถึงเป้าหมายที่ กกต. ตั้งไว้ที่ 65% โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีผู้มาใช้สิทธิเพียง 40% ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบการเมืองท้องถิ่น และความไม่แน่ใจว่าการเลือกตั้งจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
ประการที่สี่ การขาดแคลนผู้สมัครที่มีคุณภาพกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังเห็นได้จากกรณีจังหวัดสิงห์บุรีที่มีผู้สมัครนายก อบจ. เพียงคนเดียว หรือหลายพื้นที่ที่มีผู้สมัครจำนวนน้อย ส่งผลให้ประชาชนมีทางเลือกจำกัด และต้องใช้ "โหวตโน" เป็นเครื่องมือแสดงจุดยืนทางการเมือง จนนำไปสู่การจัดเลือกตั้งใหม่ในหลายพื้นที่
ความท้าทายเชิงโครงสร้างเหล่านี้บ่งชี้ว่า ระบบการเมืองท้องถิ่นไทยจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปอย่างจริงจัง เพื่อให้เป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
--------------------
สรุปแล้ว "โหวตโน" จึงไม่เพียงสะท้อนความไม่พอใจต่อตัวผู้สมัคร แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนว่าระบบการเมืองท้องถิ่นต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนและเป็นเครื่องมือในการพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง
ความท้าทายสำคัญ คือ การแปลงสัญญาณนี้ให้เป็นการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาธิปไตยระดับรากหญ้าต่อไป ??
ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง
ที่มารูปภาพ : Freepik