
นิสสัน (Nissan) เปิดเผยว่า ทีม Nissan Formula E ขึ้นนำคะแนนสะสมสูงสุดในทั้งสามประเภท ทั้งแบบทีม, นักขับ และผู้ผลิต ในการแข่งขัน ABB FIA Formula E World Championship ฤดูกาล 2024/2025 โดยล่าสุด หลังผ่านไปแล้ว 11 สนาม ทีม Nissan Formula E ยังคงรั้งตำแหน่งผู้นำสูงสุดของตารางการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนิสสันเชื่อว่าเป็นการสะท้อนการพัฒนา และความมุ่งมั่นที่จะผลักดันขอบเขตของการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าให้ก้าวไปข้างหน้าของบริษัท
สรุปข่าว
ประวัติทีมรถแข่ง Nissan Formula E
นิสสัน เป็นผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นรายแรกและรายเดียวที่เข้าร่วมการแข่งขัน ABB FIA Formula E Championship อย่างเป็นทางการในฤดูกาลที่ 5 (2018/19) นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทีม Nissan Formula E ก็มีผลงานต่อเนื่อง โดยในฤดูกาลล่าสุด 2024/2025 โอลิเวอร์ โรว์แลนด์ และนอร์แมน นาโต นำทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คว้าชัยชนะมาแล้วถึง 4 สนาม และเป็นทีมเดียวที่สามารถขึ้นโพเดียมได้ในทุกสนามตั้งแต่เริ่มฤดูกาล
ทั้งนี้ ในสนามแข่งขันที่ 9 ณ Tokyo E-Prix ซึ่งเป็นสนามเหย้าของ นิสสัน ทีมสามารถคว้าชัยชนะ โพเดียม และดับเบิลโพลโพซิชันได้สำเร็จ พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำคะแนนสะสมสูงสุดในทั้งสามประเภท ได้แก่ ประเภททีม นักขับ และผู้ผลิต พร้อมประกาศเข้าร่วมการแข่งขันในยุค GEN4 อย่างเป็นทางการจนถึงปี 2030
นิสสัน เชื่อว่า การแข่งขัน Formula E คือ “สนามทดสอบอนาคต” ที่สะท้อนแนวคิดของบริษัท สะท้อนจิตวิญญาณ “Dare to do what others don’t” กล้าที่จะคิดต่างและลงมือทำเพื่อผลักดันนวัตกรรม ภายใต้แผนวิสัยทัศน์ระยะยาว "Nissan Ambition 2030" ที่พัฒนาทั้งในด้านเทคโนโลยี มอเตอร์สปอร์ต และการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า
Formula E: ห้องทดลองของนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
ทั้งนี้ การแข่งขัน Formula E คือสนามทดลองสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งการแข่งขันในปัจจุบัน หรือยุคที่ 3 (GEN3) ทุกทีมจะใช้แบตเตอรี่ร่วมกัน การบริหารพลังงานอย่างแม่นยำจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินชัยชนะ ดังนั้น ชัยชนะของนิสสันจึงสะท้อนขีดความสามารถของระบบมอเตอร์ การจัดการพลังงาน และการควบคุมความร้อนแบตเตอรี่ ซึ่งได้จากประสบการณ์ ผสานกับข้อมูลจากการใช้งานจริงของผู้ใช้ Nissan LEAF ทั่วโลกที่รวมระยะทางกว่า 16,000 ล้านกิโลเมตร
ในทางกลับกัน นิสสันได้สร้างสำนักงานใหญ่ใหม่ของทีม Formula E ทางตอนใต้ของกรุงปารีส เพื่ออำนวยความสะดวก ตลอดจนเป็นฐานวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากสนามแข่ง ทั้งในด้านประสิทธิภาพของระบบฟื้นฟูพลังงานจากการเบรก หรือ regenerative braking การตอบสนองของมอเตอร์ และการกระจายแรงเบรก ส่งต่อไปยังทีมวิศวกรรมเพื่อพัฒนานวัตกรรมในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ และ e-POWER เทคโนโลยีการขับเคลื่อนรถยนต์ของบริษัท
ข้อมูล Formula E คือหัวใจของความก้าวหน้า
ทีม Nissan Formula E นำระบบ real-time telemetry มาใช้เพื่อวิเคราะห์รายละเอียดการแข่งขันในทุกๆ สนาม ทั้งอุณหภูมิแบตเตอรี่ อัตราการใช้พลังงาน ระบบ regenerative braking การกระจายแรงเบรก น้ำหนักที่ถ่ายสู่ในแต่ละล้อ ไปจนถึงการตอบสนองของช่วงล่างและยางในแต่ละจังหวะของสนามจากตัวรถแข่ง มากกว่า 1,000 จุดต่อรอบ สู่ศูนย์ควบคุมได้แบบเรียลไทม์
Cristina Mañas Fernández หัวหน้าฝ่าย Performance and Simulation ของทีม Nissan Formula E อธิบายว่า “การที่เรามีระบบ telemetry ที่แม่นยำ ช่วยให้วิศวกรสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากเครื่องยนต์กับฟีดแบคจากนักแข่งได้ทันที ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจว่า รถควรถูกปรับค่าการขับขี่อย่างไรในรอบถัดไป เพื่อดึงสมรรถนะให้ถึงขีดสูงสุดโดยไม่สูญเสียความสมดุล"
จากสนามแข่ง Formula E สู่ศูนย์การวิจัยและพัฒนา
การร่วมแข่งขันใน Formula E เป็นช่องทางสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างทีมมอเตอร์สปอร์ตและศูนย์วิจัยและพัฒนาของนิสสันในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในยุคยานยนต์ที่ 3 (GEN3) ที่นิสสันได้เข้าควบคุมทีมแข่ง Formula E อย่างเต็มตัว และแต่งตั้งทาดาชิ นิชิคาวะ (Tadashi Nishikawa) วิศวกรอาวุโสจากฝั่งยานยนต์ ขึ้นเป็น Chief Powertrain Engineer เพื่อเชื่อมโยงองค์ความรู้ระหว่างสองโลกเข้าด้วยกัน
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ระบบขับเคลื่อน Nissan e-4ORCE 05 ที่ต่อยอดจากเทคโนโลยี e-4ORCE ในรถยนต์รุ่นเรือธงของแบรนด์ ซึ่งถูกออกแบบให้สามารถดการแรงบิดและพลังงานได้อย่างแม่นยำมากขึ้น รองรับการแข่งขันที่ต้องอาศัยความสมดุลและความเร็วในระดับสูง ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ทีมนิสสันมีคะแนนขึ้นนำทั้งสามประเภทในฤดูกาลล่าสุด และย้ำว่าเทคโนโลยีจากสนามแข่งสามารถต่อยอดสู่อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนได้เช่นกัน
Formula E กับวิสัยทัศน์ Ambition 2030 ของนิสสัน
ด้วยเหตุนี้ นิสสันจึงตั้งเป้าเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และ e-POWER ทั่วโลกรวมกว่า 20 รุ่น ภายในปีงบประมาณ 2026 และตั้งยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั่วโลกราวร้อยละ 50 ภายในปี 2030 โดยอาศัยเทคโนโลยีและโซลูชันที่ได้จาก การเข้าร่วมการแข่งขัน Formula E
นิสสันยังต้องการวางรากฐานสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบ All-Solid State (ASSB) ซึ่งจะเริ่มนำมาใช้จริงภายในปีงบประมาณ 2028 ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรม EV โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่อย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ที่การใช้ EV ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ประหยัด คุ้มค่า และใช้งานง่าย
นิสสันย้ำว่า การเข้าร่วมแข่งขันในรายการ Formula E ไม่ได้สะท้อนแค่ชัยชนะในสนามแข่ง แต่คือ ตัวเร่งการเชื่อมต่อของระบบ หรือ system accelerator ที่เชื่อมต่อระหว่าง “สนามแข่ง – ห้องวิจัย – สายการผลิต – และสังคม” ซึ่งนิสสันประกาศว่าพร้อมจะเร่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่อนาคตที่ฉลาด สะอาด และยั่งยืนมากขึ้น