
เหนือพื้นผิวโลกกว่า 400 กิโลเมตร สถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station – ISS) ยังคงทำหน้าที่เป็นห้องทดลองขนาดยักษ์ที่โคจรรอบโลกทุก ๆ 90 นาที ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีอวกาศ แต่ยังเป็นพื้นที่ที่นักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกสามารถทดสอบแนวคิดใหม่ ๆ ที่โลกไม่สามารถจำลองได้ เช่น สภาวะไร้น้ำหนัก หรือรังสีคอสมิกระดับสูง
สถานีอวกาศนานาชาติ ISS เปรียบเสมือน “ห้องแล็บกลางอวกาศที่ไม่เคยหลับ” ที่บรรจุความหวังทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ วิศวกรรม และความร่วมมือระดับนานาชาติ การมีอยู่ของมันช่วยให้เรามองเห็นภาพอนาคตที่ชัดเจนขึ้น ทั้งการเดินทางสู่อวกาศระยะไกลและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ย้อนกลับมาสร้างประโยชน์บนโลก
จุดเริ่มต้นของโครงการ ISS
โครงการสถานีอวกาศนานาชาติเริ่มต้นจากความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างห้าภูมิภาคหลักของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ยุโรป ญี่ปุ่น และแคนาดา ซึ่งเดิมต่างมีแผนสร้างสถานีอวกาศของตนเอง แต่เมื่อเห็นถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและผลลัพธ์เชิงวิทยาศาสตร์ จึงเกิดความร่วมมือเพื่อสร้างสถานีอวกาศร่วมกัน
โดยมีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ ได้แก่ องค์การนาซา (NASA) ของสหรัฐอเมริกา, องค์การอวกาศรัสเซีย (Roscosmos), องค์การอวกาศยุโรป (ESA), องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) และองค์การอวกาศแคนาดา (CSA) ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีบทบาทสำคัญทั้งด้านเทคนิค การบริหาร และการส่งนักบินอวกาศขึ้นไปปฏิบัติภารกิจในสถานีอย่างต่อเนื่อง
เบื้องหลังความร่วมมือนี้ยังมีเหตุผลเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากโครงการเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายยุคสงครามเย็น การร่วมมือกันในอวกาศจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพและการพัฒนาโลกหลังความขัดแย้ง หลายประเทศยอมลงทุนด้านงบประมาณและเทคโนโลยีเพื่อให้ ISS กลายเป็นความจริง และกลายเป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์ระดับโลกในระยะยาว
โครงสร้างและระบบของสถานีอวกาศ ISS
สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ประกอบด้วยโมดูลหลัก ๆ ทั้งหมด ประมาณ 16 โมดูล โดยแต่ละโมดูลทำหน้าที่เฉพาะทาง เช่น โมดูล Unity ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อแรกของสถานี ใช้สำหรับเชื่อมต่อโมดูลอื่นและมีระบบไฟฟ้า รวมถึงระบบส่งผ่านข้อมูลสำคัญ
อีกโมดูลที่สำคัญคือ Tranquility ซึ่งรองรับระบบชีวิตพื้นฐาน เช่น ออกซิเจน ความชื้น และยังเป็นที่ตั้งของห้องน้ำ ห้องออกกำลังกาย และห้องสังเกตการณ์ที่ชื่อว่า Cupola ซึ่งมีหน้าต่างรูปโดม ช่วยให้นักบินอวกาศมองเห็นโลกและการทำงานภายนอกสถานีได้ชัดเจน
โมดูล Zarya ซึ่งเป็นโมดูลแรกสุดที่ถูกส่งขึ้นไปในปี 1998 มาจากรัสเซีย ทำหน้าที่ให้พลังงานและควบคุมการโคจรในช่วงต้นของโครงการ ก่อนจะมีการส่ง Zvezda ขึ้นไปทำหน้าที่แทนในระยะยาว นอกจากนี้ยังมี โมดูล Rassvet และ Poisk ที่ทำหน้าที่สนับสนุนการเชื่อมต่อกับยานอวกาศต่าง ๆ รวมถึงใช้เป็นที่ทดลองวิทยาศาสตร์
โมดูลของยุโรปและญี่ปุ่นเองก็มีบทบาทเฉพาะด้าน โดย Kibo ของญี่ปุ่นมีห้องทดลองและแท่นสำหรับปล่อยดาวเทียมหรืออุปกรณ์ทดลองสู่อวกาศภายนอก ส่วน Columbus ของยุโรปเป็นห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ที่เน้นด้านชีววิทยา วิศวกรรม และวัสดุศาสตร์ โครงสร้างทั้งหมดของ ISS ถูกออกแบบมาให้เชื่อมต่อแบบแยกส่วนได้ ทำให้สามารถขยายและบำรุงรักษาได้ในระยะยาว โดยอาศัยยานอวกาศจากหลายประเทศในการขนส่งอุปกรณ์และลูกเรือเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
สำหรับระบบภายในของ ISS มีความซับซ้อนสูง ไม่ว่าจะเป็นระบบสนับสนุนชีวิต (Life Support System) ที่ควบคุมอุณหภูมิ ความดัน และออกซิเจน ไปจนถึงระบบสื่อสารกับโลกที่ทำให้ข้อมูลจากการทดลองถูกส่งกลับมาวิเคราะห์ภาคพื้นได้แบบเรียลไทม์ โดยทุกอย่างถูกออกแบบเพื่อให้ใช้งานได้ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ
สรุปข่าว
ชีวิตของนักบินอวกาศบนสถานี ISS
ตลอดระยะเวลาที่สถานีอวกาศนานาชาติ ISS ปฏิบัติภารกิจมานานกว่า 26 ปี จนถึงเดือนพฤษภาคม 2025 มีนักบินอวกาศจำนวน 285 คนจาก 23 ประเทศ ที่เคยเดินทางไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ
นักบินอวกาศที่ปฏิบัติงานบนสถานีอวกาศนานาชาติ ISS เหล่านี้ต้องปรับตัวเข้ากับสภาวะไร้น้ำหนัก ทั้งการกินอาหารแบบบีบหลอด การนอนลอยตัว และการออกกำลังกายวันละ 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก ตารางประจำวันของนักบินอวกาศจะถูกควบคุมอย่างแม่นยำ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงานและพักผ่อน
แม้ประเทศไทยยังไม่มีนักบินอวกาศในโครงการ ISS แต่การมีตัวแทนจากประเทศในเอเชีย เช่น โคอิจิ วาคาตะ จากญี่ปุ่น หรือ เย่ กวงฟู่ จากจีน ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนทั่วภูมิภาคว่า อวกาศไม่ได้ไกลเกินเอื้อมสำหรับชาติใดอีกต่อไป
ภารกิจการทดลองของนักวิจัยไทยที่เคยถูกส่งไปทำบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) เริ่มต้นผ่านโครงการ Asian Try Zero-G ซึ่งจัดโดยสำนักงานสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) ในปี 2021 และ 2022 เยาวชนไทยได้รับคัดเลือกให้นำเสนอแนวคิดการทดลองในสภาวะไร้น้ำหนัก โดยหนึ่งในไฮไลต์คือการทดลอง "การเคลื่อนไหวของเชือกในอวกาศ" เพื่อศึกษากฎฟิสิกส์ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ
การทดลองดังกล่าวถูกดำเนินการจริงโดยนักบินอวกาศญี่ปุ่น อากิฮิโกะ โฮชิเดะ และโคอิจิ วากาตะ บนโมดูล Kibo ของ ISS ถือเป็นโอกาสสำคัญที่เปิดเวทีให้นักเรียนไทยได้มีส่วนร่วมในวิทยาศาสตร์อวกาศระดับโลก
ขณะเดียวกัน โครงการ Thai Space Consortium ที่ริเริ่มโดย GISTDA กำลังวางรากฐานสู่บทบาทของนักวิจัยไทยในด้านอวกาศอย่างเป็นระบบ เป้าหมายหลักคือการพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็กแบบ CubeSat โดยมีแผนขยายสู่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ในวงโคจรในอนาคต ผ่านความร่วมมือกับ JAXA และเครือข่ายพันธมิตรนานาชาติ ซึ่งหมายความว่า ผลงานวิจัยจากประเทศไทยอาจได้ขึ้นไปทดลองจริงบน ISS และมีส่วนผลักดันให้ไทยเข้าใกล้การส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศมากขึ้นเรื่อย ๆ
ภารกิจสถานีอวกาศนานาชาติ ISS ที่เปลี่ยนแปลงโลก
1. ด้านการแพทย์และชีววิทยา
สถานีอวกาศนานาชาติ ISS เป็นห้องทดลองไร้น้ำหนักที่ทำให้มนุษย์เข้าใจการทำงานของร่างกายในสภาวะแวดล้อมสุดขั้ว ซึ่งแตกต่างจากบนโลกอย่างมีนัยสำคัญ นักวิจัยสามารถศึกษาผลกระทบของอวกาศต่อระบบภูมิคุ้มกัน การสลายของกระดูก และการทำงานของหัวใจได้อย่างละเอียด ส่งผลให้เกิดแนวทางใหม่ในการรักษาโรคเหล่านี้บนโลก รวมถึงการพัฒนายาที่ดูดซึมได้ดีขึ้นและวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุขทั่วโลก
2. ด้านวัสดุศาสตร์และวิศวกรรม
หลายเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในสถานีอวกาศ ถูกนำกลับมาใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น วัสดุก่อสร้างที่ทนแรงกระแทกสูง เซ็นเซอร์วัดสัญญาณชีพ และเครื่องกรองน้ำขั้นสูง การทดลองที่สถานีอวกาศนานาชาติ ISS ยังช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของวัสดุในสภาพไร้น้ำหนักหรือสุญญากาศ ทำให้เกิดวัสดุใหม่ที่มีคุณสมบัติพิเศษ และการออกแบบอุปกรณ์ที่สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้ ซึ่งส่งผลต่อทั้งอุตสาหกรรมก่อสร้าง พลังงาน และเทคโนโลยีทางการแพทย์
3. ด้านเทคโนโลยีอวกาศและการสำรวจระยะไกล
สถานีอวกาศนานาชาติ ISS ทำหน้าที่เป็นสนามทดสอบสำคัญสำหรับภารกิจอวกาศระยะยาว โดยเฉพาะภารกิจสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร การดำรงชีวิตของนักบินอวกาศในสถานีช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจเรื่องโภชนาการ สุขภาพจิต ระบบรีไซเคิลน้ำและอากาศ ตลอดจนความสามารถในการทำงานในสภาพแวดล้อมปิดที่โดดเดี่ยวยาวนาน ความรู้เหล่านี้ถูกนำไปต่อยอดในการออกแบบระบบสนับสนุนชีวิตสำหรับยานสำรวจรุ่นต่อไป ซึ่งจะเป็นรากฐานของการตั้งถิ่นฐานถาวรนอกโลกในอนาคต
4. ด้านการสังเกตโลกและดาราศาสตร์
สถานีอวกาศนานาชาติ ISS นั้นเป็นจุดสังเกตการณ์ระดับโลกที่ให้ภาพถ่ายและข้อมูลคุณภาพสูงเกี่ยวกับชั้นบรรยากาศ การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และพฤติกรรมของระบบโลกแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังติดตั้งกล้องโทรทรรศน์และเครื่องมือวัดหลากหลายชนิดเพื่อศึกษาวัตถุท้องฟ้า รังสีคอสมิก และปรากฏการณ์จากอวกาศลึก ซึ่งเสริมสร้างความเข้าใจของมนุษย์ทั้งในเรื่องสิ่งแวดล้อมของโลกและเอกภพโดยรอบอย่างบูรณาการ
5. ด้านการศึกษาและการสร้างแรงบันดาลใจ
สถานีอวกาศนานาชาติ ISS เป็นพื้นที่เปิดสำหรับโครงการด้านการศึกษาทั่วโลก โดยเยาวชนสามารถส่งข้อเสนอการทดลองขึ้นสู่อวกาศผ่านโครงการของ NASA, ESA และ JAXA ได้อย่างจริงจัง สิ่งนี้ไม่เพียงสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ทรงพลัง แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กและเยาวชนหันมาสนใจสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ หรือ STEM มากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการลงทุนในอนาคตของวิทยาศาสตร์ระดับโลก
6. ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ
สถานีอวกาศนานาชาติ ISS ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จของความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่างแท้จริง ด้วยการร่วมมือกันของสหรัฐฯ รัสเซีย ยุโรป ญี่ปุ่น แคนาดา และพันธมิตรอื่น ๆ ที่สามารถหลอมรวมทรัพยากร ความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกันได้ แม้จะมีความแตกต่างทางการเมืองและวัฒนธรรม ความร่วมมือข้ามพรมแดนที่เกิดขึ้นบน ISS แสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์สามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างประเทศในยุคที่โลกต้องการความร่วมมือมากกว่าความขัดแย้ง
อุบัติเหตุบนสถานีอวกาศ ISS
นับจากสถานีอวกาศนานาชาติ ISS เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่ปี 2000 โครงสร้างและระบบหลายส่วนเริ่มเสื่อมสภาพ และต้นทุนการบำรุงรักษาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ NASA และพันธมิตรวางแผนเลิกใช้งานภายในปี 2030
แม้สถานีอวกาศนานาชาติ ISS จะได้รับการออกแบบและบริหารจัดการด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด แต่ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่มีการใช้งาน ก็ยังมีเหตุการณ์ผิดปกติและอุบัติเหตุที่สำคัญเกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น
เดือนกรกฎาคม 2021 โมดูลห้องวิจัยอเนกประสงค์ของรัสเซีย (Nauka) เกิดขัดข้องและเปิดใช้ไอพ่นโดยไม่ตั้งใจ ส่งผลให้สถานีอวกาศนานาชาติสูญเสียการควบคุมทิศทางชั่วคราว แม้จะสามารถกู้สถานการณ์กลับมาได้โดยไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงจากความผิดพลาดของระบบ
หรือเดือนธันวาคม 2022 ยาน Soyuz MS-22 ของรัสเซียที่เดินทางเข้าเทียบท่ากับสถานีอวกาศนานาชาติ ISS เกิดปัญหาระบบระบายความร้อนรั่วไหล ทำให้ไม่สามารถใช้ยานดังกล่าวสำหรับนำลูกเรือกลับโลกได้ในกรณีฉุกเฉิน Roscosmos และพันธมิตรต้องส่งยานลำใหม่ขึ้นไปเพื่ออพยพนักบินอวกาศ และตัวสถานีก็เคยเหตุการณ์ลักษณะนี้หลายครั้ง จนต้องซ่อมแซมเป็นระยะ
และระหว่างปี 2024-2025 เกิดข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เกือบพรากชีวิตของนักบินอวกาศ 2 คน โดยยานอวกาศ Starliner ของบริษัท โบอิง ประสบปัญหาการรั่วไหลของฮีเลียมและเครื่องขับดันทำงานผิดปกติ ทำให้นักบินอวกาศ 2 คน คือ บุตช์ วิลมอร์ และซูนี วิลเลียมส์ ต้องติดค้างอยู่บนบนสถานีอวกาศนานาชาติ ISS นานกว่า 9 เดือน แทนที่จะกลับโลกภายใน 8 วันตามแผนเดิมที่วางไว้ และ NASA ต้องใช้ยานอวกาศ Crew Dragon ของบริษัท SpaceX นำนักบินอวกาศทั้ง 2 คน กลับโลกอย่างปลอดภัยในปี 2025 ในขณะที่ยานอวกาศ Starliner เดินทางกลับโลกโดยไม่มีนักบินอวกาศอยู่ภายในยาน
เหตุผลที่ NASA เลือกปลดระวางสถานีอวกาศนานาชาติ ISS
สถานีอวกาศนานาชาติให้บริการมาแล้วกว่า 23 ปี โดยอุปกรณ์สำคัญ เช่น โมดูล และโครงสร้างหลัก เริ่มเสื่อมสภาพจากแรงกระแทกและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในวงโคจร NASA จึงวางแผนใช้งานต่อจนถึงปี 2030 ก่อนจะยุติภารกิจอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ NASA ยังตั้งเป้าเปลี่ยนจากการดำเนินงานสถานีด้วยตนเองไปสู่การใช้บริการจากเอกชน เพื่อให้สามารถมุ่งหน้าสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคารได้มากขึ้น
ก่อนหน้านี้ NASA เคยพิจารณาแนวทางอื่น ๆ เช่น การถอดชิ้นส่วนกลับโลก แต่แนวทางนี้แทบเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากสถานีอวกาศ ISS ใหญ่เท่าสนามฟุตบอล ต้องใช้การเดินอวกาศ EVA โดยนักบินอวกาศจำนวนมากและยานขนส่งพิเศษที่นำชิ้นส่วนสถานีอวกาศกลับโลก ซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนายานอีกนาน หรือการปรับวงโคจรของสถานีให้สูงขึ้น ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการชนกับเศษซากอวกาศและไม่มีระบบหรือยานที่พร้อมสำหรับภารกิจนี้
ดังนั้น NASA จึงเลือก “การกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศแบบควบคุม” (Controlled Reentry) เพื่อทำลายสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลในด้านข้อกำหนดของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กำหนดว่า ยานอวกาศใดก็ตามที่กลับโลก ต้องมีโอกาสสร้างอันตรายต่อประชาชนไม่เกิน 1 ใน 10,000 แต่ขนาดและมวลของ ISS ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้ได้ หากปล่อยให้ตกเองโดยไร้การควบคุม
วาระสุดท้ายของสถานีอวกาศนาชาติ ISS
สถานีอวกาศแห่งนี้ถูกวางแผนปลดระวางในช่วงหลังปี 2030 โดย NASA ได้เปิดเผยว่าเมื่อถึงเวลานั้น ISS จะถูกลดระดับวงโคจรอย่างควบคุมเพื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกและเผาไหม้ส่วนใหญ่ ก่อนตกลงสู่ "สุสานยานอวกาศ" ที่มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ โดยใช้ยานอวกาศของบริษัท SpaceX หลักดันสถานีอวกาศนานาชาติให้ตกลงไปในตำแหน่งที่เหมาะสม และจะเป็นการยุติการใช้งานอย่างปลอดภัยตามอายุโครงสร้าง
เนื่องจาก SpaceX เป็นผู้ให้บริการขนส่งหลักของ NASA ในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับสถานีอวกาศนานาชาติ ISS อยู่แล้ว เช่น การส่งนักบินอวกาศด้วยยาน Crew Dragon และขนส่งสัมภาระด้วยยาน Cargo Dragon ดังนั้น แม้ SpaceX จะไม่ได้สถานีอวกาศนานาชาติ ISS โดยตรง แต่มีแนวโน้มที่จะเป็นหนึ่งในผู้ช่วยจัดการปลายทางของสถานีอวกาศนานาชาติในแบบที่ปลอดภัยและควบคุมได้
สถานีอวกาศนานาชาติ ISS ไม่ใช่แค่ความสำเร็จด้านวิทยาศาสตร์ แต่คือสัญลักษณ์ของความร่วมมือข้ามพรมแดน การลงทุนในโครงการนี้ได้เปิดประตูสู่ความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับชีวิต จักรวาล และเทคโนโลยี คำถามที่สำคัญคือ เมื่อวันหนึ่ง ISS ต้องออกจากวงโคจร มนุษยชาติจะเลือกหยุดอยู่แค่ความสำเร็จในอดีต หรือจะเดินหน้าสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ด้วยพลังของวิทยาศาสตร์และความร่วมมือเช่นเดิม
ก้าวต่อสถานีอวกาศดวงจันทร์ Lunar Gateway
แม้ว่าสถานีอวกาศนานาชาติ ISS จะถูกปลดระวางก่อนปี 2030 แต่อนาคตของการสำรวจอวกาศยังคงดำเนินต่อไป โดย NASA มีแผนการก่อสร้างสถานีอวกาศดวงจันทร์ (Lunar Gateway) โดยเป็นโครงการความร่วมมือระดับนานาชาติที่นำโดยองค์การนาซา (NASA) ร่วมกับองค์การอวกาศยุโรป (ESA), องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA), องค์การอวกาศแคนาดา (CSA) และศูนย์อวกาศ Mohammed Bin Rashid ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (MBRSC)
แนวคิดของโครงการเริ่มต้นในปี 2012 ภายใต้ชื่อ "Deep Space Habitat" ต่อมาในปี 2018 ได้รับการพัฒนาเป็นโครงการ Lunar Gateway เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Artemis ของนาซา ซึ่งมีเป้าหมายในการกลับไปสำรวจดวงจันทร์และเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางสู่ดาวอังคาร
โดยมีเป้าหมายในการสร้างสถานีอวกาศขนาดเล็กที่โคจรรอบดวงจันทร์ เพื่อสนับสนุนภารกิจสำรวจดวงจันทร์ เป็นฐานปฏิบัติการสำหรับภารกิจสำรวจดวงจันทร์ สนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในสภาพแวดล้อมอวกาศลึก จุดเชื่อมต่อสำหรับยานอวกาศและระบบสนับสนุนชีวิต และเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางสู่ดาวอังคารในอนาคต
สถานีอวกาศ Lunar Gateway จะโคจรรอบดวงจันทร์ในวงโคจรที่เรียกว่า Near-Rectilinear Halo Orbit (NRHO) ซึ่งมีความเสถียรและประหยัดพลังงานในการรักษาวงโคจร . สถานีประกอบด้วยโมดูลหลัก เช่น โมดูลพลังงานและการขับเคลื่อน (PPE), โมดูลที่พักอาศัยและโลจิสติกส์ (HALO), โมดูลที่พักอาศัยระหว่างประเทศ (I-Hab) และโมดูลที่ให้บริการเติมเชื้อเพลิง โครงสร้างพื้นฐาน และการสื่อสาร (ESPRIT) ภายใต้การช่วยเหลือของแขนหุ่นยนต์ Canadarm3 ในลักษณะใกล้เคียงกับที่เคยใช้บนสถานีอวกาศนานาชาติ ISS
ปัจจุบัน ข้อมูลล่าสุดในปี 2025 โมดูล PPE และ HALO อยู่ระหว่างการพัฒนาและมีกำหนดการปล่อยขึ้นสู่วงโคจรดวงจันทร์ในปี 2027 ด้วยจรวด Falcon Heavy ของ SpaceX โมดูล I-Hab มีกำหนดการปล่อยในปี 2028 พร้อมกับภารกิจ Artemis IV โมดูล ESPRIT มีกำหนดการปล่อยในปี 2030 พร้อมกับภารกิจ Artemis V และคาดว่าสถานีอวกาศดวงจันทร์ (Lunar Gateway) จะเริ่มปฏิบัติการเต็มรูปแบบภายในปี 2030
สรุป
แม้สถานีอวกาศนานาชาติ ISS กำลังเดินทางสู่ปลายทางในช่วงหลังปี 2030 แต่ความรู้และแรงบันดาลใจที่มันได้มอบไว้ยังคงต่อยอดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โครงการ Lunar Gateway จึงเปรียบเสมือนก้าวต่อไปของมวลมนุษยชาติในการสำรวจอวกาศลึก ภายใต้ความร่วมมือระดับนานาชาติชุดใหม่ที่พร้อมรองรับภารกิจดวงจันทร์และดาวอังคารในอนาคต บทเรียนจาก ISS กลายเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการออกแบบเทคโนโลยี ระบบสนับสนุนชีวิต และแนวทางการอยู่ร่วมกันในอวกาศ ที่จะพาเราไปไกลกว่าที่เคยไปถึงมาก่อน
ที่มารูปภาพ : NASA