ประวัติ โยอันน์ ซาร์โก้ นักบิดผู้ไม่มีวันหมดอายุ

ประวัติ โยอันน์ ซาร์โก้ นักบิดผู้ไม่มีวันหมดอายุ



โยอันน์ ซาร์โก้ หนึ่งในนักบิดที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในวงการมอเตอร์สปอร์ตยังคงยืนหยัดในสนามแข่งด้วยฝีมืออันแข็งแกร่ง แม้มีอายุ 34 ปีในฤดูกาล 2025 แต่เป็นนักบิดชาวฝรั่งเศสที่ได้รับการจดจำไม่เพียงแค่ฝีไม้ลายมือในการควบคุมรถที่ดุดันและแม่นยำ แต่ยังมีท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์อย่างการตีลังกาหลังเมื่อว้าชัยชนะ ซึ่งกลายเป็นภาพประทับใจของแฟนๆ ไม่รู้ลืม


ซาร์โก้เกิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.. 1990 ที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส เริ่มต้นเส้นทางสู่เวิลด์กรังด์ปรีซ์ในคลาส 125cc เมื่อปี 2009 และสร้างชื่ออย่างรวดเร็วจากการคว้าตำแหน่งรองแชมป์โลกในปี 2011 ก่อนจะขยับขึ้นสู่คลาส โมโต 2 ในปี 2012 และจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์โลก โมโต 2 สองสมัยติดต่อกันในปี 2015 และ 2016 โดยเฉพาะในฤดูกาล 2015 คว้าชัยถึง 8 สนามและขึ้นโพเดียม 14 ครั้ง ขณะที่ปี 2016 ก็ยังคงรักษาฟอร์มเก่งด้วยการคว้าชัยอีก 7 สนามและขึ้นโพเดียม 10 ครั้ง เป็นผลงานที่ยืนยันถึงความสามารถในระดับแถวหน้า ที่ย้ำซ้ำๆ ว่าถึงเวลาแล้วกับรุ่นสูงสุด


ซาร์โก้เข้าสู่ โมโตจีพี พรีเมียร์คลาสในปี 2017 กับทีม ยามาฮ่า เทค3 ซึ่งเป็นทีมแซทเทิลไลต์ของโรงงานยามาฮ่าในตอนนั้น และเพียงปีแรกก็สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว สร้างความประทับใจตั้งแต่สนามแรกของฤดูกาลด้วยการขึ้นนำการแข่งขันที่กาตาร์ นอกจากนี้ยังคว้าโพเดียมในบ้านเกิดที่ บูกัตติ เซอร์กิต เลอ มองส์ และคว้ารางวัลรุกกี้ยอดเยี่ยมแห่งปีด้วยการจบฤดูกาลในอันดับ ของโลก กลายเป็นหนึ่งในนักบิดที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในช่วงเวลานั้น



สรุปข่าว

“โยอันน์ ซาร์โก้” นักบิดผู้แสดงให้เห็นว่า จำนวนอายุที่เพิ่มเข้ามาคือจำนวนประสบการณ์ที่เป็นขั้นบันไดให้ก้าวไปข้างหน้าแบบไม่มีวันหมด หนึ่งในว่าที่ตำนาน “โมโตจีพี” ชาวฝรั่งเศส



โยอันน์ ซาร์โก้ หนึ่งในนักบิดที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในวงการมอเตอร์สปอร์ตยังคงยืนหยัดในสนามแข่งด้วยฝีมืออันแข็งแกร่ง แม้มีอายุ 34 ปีในฤดูกาล 2025 แต่เป็นนักบิดชาวฝรั่งเศสที่ได้รับการจดจำไม่เพียงแค่ฝีไม้ลายมือในการควบคุมรถที่ดุดันและแม่นยำ แต่ยังมีท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์อย่างการตีลังกาหลังเมื่อว้าชัยชนะ ซึ่งกลายเป็นภาพประทับใจของแฟนๆ ไม่รู้ลืม


ซาร์โก้เกิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.. 1990 ที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส เริ่มต้นเส้นทางสู่เวิลด์กรังด์ปรีซ์ในคลาส 125cc เมื่อปี 2009 และสร้างชื่ออย่างรวดเร็วจากการคว้าตำแหน่งรองแชมป์โลกในปี 2011 ก่อนจะขยับขึ้นสู่คลาส โมโต 2 ในปี 2012 และจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์โลก โมโต 2 สองสมัยติดต่อกันในปี 2015 และ 2016 โดยเฉพาะในฤดูกาล 2015 คว้าชัยถึง 8 สนามและขึ้นโพเดียม 14 ครั้ง ขณะที่ปี 2016 ก็ยังคงรักษาฟอร์มเก่งด้วยการคว้าชัยอีก 7 สนามและขึ้นโพเดียม 10 ครั้ง เป็นผลงานที่ยืนยันถึงความสามารถในระดับแถวหน้า ที่ย้ำซ้ำๆ ว่าถึงเวลาแล้วกับรุ่นสูงสุด


ซาร์โก้เข้าสู่ โมโตจีพี พรีเมียร์คลาสในปี 2017 กับทีม ยามาฮ่า เทค3 ซึ่งเป็นทีมแซทเทิลไลต์ของโรงงานยามาฮ่าในตอนนั้น และเพียงปีแรกก็สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว สร้างความประทับใจตั้งแต่สนามแรกของฤดูกาลด้วยการขึ้นนำการแข่งขันที่กาตาร์ นอกจากนี้ยังคว้าโพเดียมในบ้านเกิดที่ บูกัตติ เซอร์กิต เลอ มองส์ และคว้ารางวัลรุกกี้ยอดเยี่ยมแห่งปีด้วยการจบฤดูกาลในอันดับ ของโลก กลายเป็นหนึ่งในนักบิดที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในช่วงเวลานั้น




ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอาชีพของซาร์โก้เกิดขึ้นเมื่อย้ายไปทีม KTM ซึ่งเป็นทีมโรงงาน ในปี 2019 ด้วยความคาดหวังว่าจะช่วยพัฒนา RC16 ให้สามารถแข่งขันกับทีมชั้นนำอื่นๆ ได้ แต่ปัญหาในการปรับตัวกับรถ KTM ส่งผลให้ผลงานของเขาตกต่ำอย่างเห็นได้ชัด จึงตัดสินใจแยกทางกับทีมก่อนจบฤดูกาล 2019 แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในช่วงเวลานั้น ก่อนจะได้รับโอกาสจากทีม LCR ฮอนด้า ลงแข่งขันใน สนามสุดท้ายของปีเดียวกัน


ในปี 2020 ซาร์โก้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับทีม เอสปอนโซรามา เรซิ่ง ที่ใช้เครื่องยนตร์ดูคาติ แม้เป็นรถสเปกเก่า แต่ก็สามารถโชว์ผลงานได้ดีเยี่ยม คว้าโพเดียมที่ กรังด์ปรีซ์ ออฟ เช็คเกีย และสร้างความมั่นใจให้กับต้นสังกัด ซึ่งนำไปสู่การย้ายเข้าสังกัด พราแม็ค เรซิ่ง ในปี 2021 ที่นั่นเขาได้รับรถสเปกโรงงานของดูคาติ และสามารถกลับมาแข่งขันในระดับแนวหน้าอีกครั้ง โดยคว้าโพเดียมรวม 8 ครั้งในปี 2021 และ 2022 พร้อมทั้งสร้างจุดเปลี่ยนในอาชีพเมื่อสามารถคว้าชัยชนะครั้งแรกใน โมโตจีพี ได้สำเร็จที่สนามฟิลลิปไอแลนด์


แม้ความสำเร็จกับ พราแม็ค เรซิ่ง จะเป็นที่น่าจดจำ แต่เขาไม่ได้รับการโปรโมตสู่ทีมโรงงานดูคาติ เนื่องจากทีมเลือกนักบิดที่อายุน้อยกว่าอย่าง อีเนีย บาสเตียนีนี่ ทำให้ซาร์โก้ตัดสินใจย้ายไปยังทีม ฮอนด้า LCR ในฤดูกาล 2024 ด้วยสัญญาระยะเวลา 2 ปี 


บทบาทของ ซาร์โก้ เป็นมากกว่านักบิดที่ลงแข่งขัน แต่ยังรวมถึงการเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนา Honda RC213V ให้กลับมาแข่งขันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง และในฤดูกาลนี้เอง ซาร์โก้กลายเป็นนักบิดค่ายฮอนด้าที่ทำผลงานได้ดีที่สุด โดยเฉพาะการคว้าชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ที่ กรังด์ปรีซ์ เดอ ฟร้องซ์ ซึ่งถือเป็นชัยชนะในบ้านเกิด และชัยชนะแรกของทีมฮอนด้าในฤดูกาลนี้ ความสำเร็จครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคในวัย 34 ปี ศักยภาพของเขายังไม่ลดถอย และพร้อมที่จะต่อสู้กับเหล่าดาวรุ่งคลื่นลูกใหม่ที่พร้อมจะพัดโต้เข้ามาในวงการจักรยานยนตร์ทางเรียบ


สัญญาปัจจุบันของซาร์โก้กับทีมฮนด้า LCR จะหมดลงหลังจบฤดูกาล 2025 ทำให้ขณะนี้ชื่อของ ซาร์โก้ ได้รับการจับตามองมากที่สุดในตลาด โมโตจีพี หลายฝ่ายมองว่า ด้วยผลงานอันโดดเด่นในช่วงปีที่ผ่านมา ประกอบกับประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน ทำให้เขาอาจได้รับการพิจารณาเลื่อนขึ้นสู่ทีมโรงงานฮอนด้า หากมีการปรับทัพนักแข่งในปี 2026 


ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่าทีมอื่น ๆ โมโตจีพี กำลังแสดงความสนใจในตัว ซาร์โก้ เช่นกัน แม้ยังไม่มีที่มาชัดเจน และไม่มีชื่อว่าทีมไหนอาจมีที่ว่าง แต่ก็แสดงให้เห็นว่า ซาร์โก้ยังคงเป็นนักบิดที่มีมูลค่าในตลาด ด้วยประสบการณ์ เทคนิคการขับขี่ และความสามารถในการให้ข้อมูลเพื่อพัฒนารถแข่ง


จุดแข็งที่ทำให้ซาร์โก้ยังคงอยู่ในระดับแนวหน้าของการแข่งขันได้ คือการรักษาสภาพร่างกายให้อยู่ในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ การวางกลยุทธ์ในการขับขี่ที่มีความยืดหยุ่น และความสามารถในการเรียนรู้จากรถแต่ละคันที่เคย

ที่มาข้อมูล : MOTOGP

ที่มารูปภาพ : HONDA RACING THAILAND