ส่องประวัติ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ เพชรเม็ดงามของวงการฟุตบอลเยอรมัน

ส่องประวัติ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ เพชรเม็ดงามของวงการฟุตบอลเยอรมัน

ฟุตบอลลีกยุโรปเข้าสู่ช่วงปิดฤดูกาลกันไปเป็นที่เรียบร้อย หลายๆ ปิดตัวลงพร้อมกับได้ทีมแชมป์กันไปแทบจะทั้งหมดแล้ว เหลือแค่ฟุตบอลถ้วยรายการต่างๆ ที่กำลังอยู่ในรอบชิงชนะเลิศ

ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก จบไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน และเป็น ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่เอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปได้ 1-0 คว้าแชมป์พร้อมกับสิทธิ์ในการไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปหน้าไปครอง ขณะที่ในสัปดาห์นี้จะเป็นคิวของ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ถ้วยเล็กสุดของยุโรป ซึ่งจะเป็นการชิงชัยระหว่าง เรอัล เบติส จาก ลา ลีกา สเปน ที่จะเจอกับ เชลซี ที่เป็นเต็งหนึ่งของรายการนี้มาตั้งแต่รอบ ลีก เฟส

ก่อนที่ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถ้วยใหญ่สุดจะชิงชัยกันในวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคมนี้ และนั่นแหละ ถึงจะเป็นการปิดฉากฤดูกาล 2024-25 อย่างแท้จริง

เมื่อพูดถึงช่วงปิดฤดูกาลแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่เป็นความสนุกของการติดตามดูฟุตบอล นั่นก็คือการลุ้นว่าทีมโปรดของตัวเองจะได้ใครใหม่เข้ามาร่วมทีม และจะมีใครบ้างที่ย้ายออกไป การซื้อขายนักเตะในช่วงซัมเมอร์ คืออีกหนึ่งสิ่งที่เป็นความสนุกของการเชียร์บอลอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้

ในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึงนี้ มีนักเตะหลายคนที่เป็นระดับสตาร์ที่อาจจะย้ายทีม แต่มีไม่กี่คนที่น่าจะย้ายด้วยค่าตัวระดับที่เป็นสถิติ และ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ คือหนึ่งในคนที่น่าจะย้ายด้วยค่าตัวที่มหาศาล เผลอๆ อาจจะเป็นคนที่มีค่าตัวแพงเป็นอันดับที่ 1 ในตลาดนักเตะรอบนี้

วันนี้เราจะมาส่องประวัติของดาวรุ่งรายนี้กันหน่อยว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ก่อนที่จะกลายเป็นนักเตะคนใหม่ของ ลิเวอร์พูล ตามที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในเวลานี้

ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ มีชื่อเต็มๆ ว่า ฟลอเรียน ริชาร์ด เวียร์ตซ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ปี 2003 เพิ่งจะอายุครบ 22 ปีไปหมาดๆ โดยเจ้าตัวเกิดที่เมือง พุลไฮม์ ทางภาคตะวันตกของประเทศเยอรมนี

เวียร์ตซ์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในดาวรุ่งมากพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอลเยอรมันเวลานี้ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบกับสโมสรท้องถิ่นอย่าง เอสเฟา กรึน-ไวส์ บราวไวเลอร์ ในปี 2008 ก่อนที่อีก 2 ปีต่อมา จะได้ย้ายไปอยู่กับทีมที่มีชื่อเสียงอย่าง เอฟซี โคโลญจน์ ซึ่ง เวียร์ตซ์ ฝึกฟุตบอลในอะคาเดมี่ของทีม "แพะบ้า" อยู่ถึง 10 ปีด้วยกัน

จนเมื่ออายุได้ 17 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมต่อการเติบโตไปสู่อีกขั้นของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เวียร์ตซ์ ก็ถูก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น คว้าตัวไปร่วมทีม ในเดือนมกราคมปี 2020 ซึ่งในตอนนั้นกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตไม่น้อย เพราะ โคโลญจน์ มองว่า เลเวอร์คูเซ่น ผิดสัญญาสุภาพบุรุษที่เคยตกลงกันไว้

สรุปข่าว

ส่องประวัติ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ เพชรเม็ดงามของวงการฟุตบอลเยอรมัน ที่มีส่วนสำคัญในการพา ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น สร้างประวัติศาสตร์ และกำลังจะกลายมาเป็นดาวเตะคนใหม่ของ ลิเวอร์พูล ในอีกไม่นานนี้

ฟุตบอลลีกยุโรปเข้าสู่ช่วงปิดฤดูกาลกันไปเป็นที่เรียบร้อย หลายๆ ปิดตัวลงพร้อมกับได้ทีมแชมป์กันไปแทบจะทั้งหมดแล้ว เหลือแค่ฟุตบอลถ้วยรายการต่างๆ ที่กำลังอยู่ในรอบชิงชนะเลิศ

ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก จบไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน และเป็น ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่เอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปได้ 1-0 คว้าแชมป์พร้อมกับสิทธิ์ในการไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปหน้าไปครอง ขณะที่ในสัปดาห์นี้จะเป็นคิวของ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ถ้วยเล็กสุดของยุโรป ซึ่งจะเป็นการชิงชัยระหว่าง เรอัล เบติส จาก ลา ลีกา สเปน ที่จะเจอกับ เชลซี ที่เป็นเต็งหนึ่งของรายการนี้มาตั้งแต่รอบ ลีก เฟส

ก่อนที่ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถ้วยใหญ่สุดจะชิงชัยกันในวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคมนี้ และนั่นแหละ ถึงจะเป็นการปิดฉากฤดูกาล 2024-25 อย่างแท้จริง

เมื่อพูดถึงช่วงปิดฤดูกาลแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่เป็นความสนุกของการติดตามดูฟุตบอล นั่นก็คือการลุ้นว่าทีมโปรดของตัวเองจะได้ใครใหม่เข้ามาร่วมทีม และจะมีใครบ้างที่ย้ายออกไป การซื้อขายนักเตะในช่วงซัมเมอร์ คืออีกหนึ่งสิ่งที่เป็นความสนุกของการเชียร์บอลอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้

ในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึงนี้ มีนักเตะหลายคนที่เป็นระดับสตาร์ที่อาจจะย้ายทีม แต่มีไม่กี่คนที่น่าจะย้ายด้วยค่าตัวระดับที่เป็นสถิติ และ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ คือหนึ่งในคนที่น่าจะย้ายด้วยค่าตัวที่มหาศาล เผลอๆ อาจจะเป็นคนที่มีค่าตัวแพงเป็นอันดับที่ 1 ในตลาดนักเตะรอบนี้

วันนี้เราจะมาส่องประวัติของดาวรุ่งรายนี้กันหน่อยว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ก่อนที่จะกลายเป็นนักเตะคนใหม่ของ ลิเวอร์พูล ตามที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในเวลานี้

ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ มีชื่อเต็มๆ ว่า ฟลอเรียน ริชาร์ด เวียร์ตซ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ปี 2003 เพิ่งจะอายุครบ 22 ปีไปหมาดๆ โดยเจ้าตัวเกิดที่เมือง พุลไฮม์ ทางภาคตะวันตกของประเทศเยอรมนี

เวียร์ตซ์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในดาวรุ่งมากพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอลเยอรมันเวลานี้ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบกับสโมสรท้องถิ่นอย่าง เอสเฟา กรึน-ไวส์ บราวไวเลอร์ ในปี 2008 ก่อนที่อีก 2 ปีต่อมา จะได้ย้ายไปอยู่กับทีมที่มีชื่อเสียงอย่าง เอฟซี โคโลญจน์ ซึ่ง เวียร์ตซ์ ฝึกฟุตบอลในอะคาเดมี่ของทีม "แพะบ้า" อยู่ถึง 10 ปีด้วยกัน

จนเมื่ออายุได้ 17 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมต่อการเติบโตไปสู่อีกขั้นของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เวียร์ตซ์ ก็ถูก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น คว้าตัวไปร่วมทีม ในเดือนมกราคมปี 2020 ซึ่งในตอนนั้นกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตไม่น้อย เพราะ โคโลญจน์ มองว่า เลเวอร์คูเซ่น ผิดสัญญาสุภาพบุรุษที่เคยตกลงกันไว้

แต่อย่างไรก็ตาม เวียร์ตซ์ ก็ได้ย้ายมาเป็นนักเตะของทีมห้างขายยาจนได้ โดยเริ่มต้นเล่นให้กับทีมเยาวชนชุดอายุไม่เกิน 17 ปีก่อน และสามารถสร้างความประทับใจได้ในทันที นั่นทำให้เกมแรกในบุนเดสลีกาของ เวียร์ตซ์ ไม่ต้องรอนานนัก ในวันที่ 18 พฤษภาคม ปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูกาล 2019-20 เวียร์ตซ์ ก็ได้ประเดิมลงเล่นในเกมระดับบุนเดสลีกาเป็นครั้งแรก แถมได้ออกสตาร์ทด้วยการเป็นตัวจริงทันที ในเกมที่ เลเวอร์คูเซ่น ออกไปเยือน แวร์เดอร์ เบรเมน

นั่นทำให้ เวียร์ตซ์ ในวัยเพียง 17 ปีกับอีก 15 วัน ทำลายสถิตินักเตะที่มีอายุน้อยที่สุดของสโมสรในการลงเล่นในบุนเดสลีกาทันที โดยผู้ที่ครองสถิติเดิมนั้นก็คือ ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่ในเวลานั้นย้ายออกจากทีมห้างขายยาไปอยู่กับ เชลซี เรียบร้อยแล้ว ด้วยค่าตัวรวมโบนัสสูงถึง 71 ล้านปอนด์

หลังจากนั้นในวันที่ 6 มิถุนายนปีเดียวกัน เวียร์ตซ์ ก็ทำประตูแรกในสีเสื้อของ เลเวอร์คูเซ่น ได้ ในเกมที่เปิดบ้านพ่ายต่อ บาเยิร์น มิวนิค ไป 2-4 โดย เวียร์ตซ์ ยิงได้ในนาทีที่ 89 แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยให้ทีมชนะ แต่ประตูดังกล่าว ก็ทำให้เขาสร้างสถิติเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในบุนเดสลีกา ด้วยวัยเพียง 17 ปี กับอีก 34 วัน ซึ่งสถิติดังกล่าวถูก ยูสซูฟา มูโกโก้ ดาวรุ่งของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทำลายได้ในอีกราว 6 เดือนต่อมา ในวัยเพียง 16 ปีกับอีก 28 วันเท่านั้น

เวียร์ตซ์ จบฤดูกาลแรกกับทีมห้างขายยา ด้วยการลงเล่นไป 7 เกมในบุนเดสลีกา ทำไป 1 ประตู จากนั้นในฤดูกาลถัดมา เวียร์ตซ์ ก็ทำประตูแรกในรายการชิงแชมป์สโมสรยุโรปได้ ในเกม ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ที่ เลเวอร์คูเซ่น ถล่ม นีซ ไปอย่างขาดลอย 6-2 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2020 และยังคงทำผลงานได้น่าประทับอย่างต่อเนื่อง ทำให้อีก 2 เดือนถัดมา เลเวอร์คูเซ่น จึงจับ เวียร์ตซ์ ต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปอีก 3 ปี

เวียร์ตซ์ ยังคงเล่นได้อย่างโดดเด่นต่อไป ในวันที่ 19 มกราคม ปี 2021 เจ้าตัวเป็นคนยิงประตูชัยในนาทีที่ 80 ช่วยให้ เลเวอร์คูเซ่น เอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2-1 ก่อนที่เขาจะยิงประตูได้อีก ในเกมที่เอาชนะ สตุ๊ตการ์ท 5-2 ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นประตูที่ 5 ของเขาในบุนเดสลีกา และทำให้ เวียร์ตซ์ สร้างสถิติใหม่อีกครั้ง เมื่อกลายเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงในบุนเดสลีกาได้ถึง 5 ประตู ก่อนที่จะมีอายุครบ 18 ปีเต็ม

นั่นทำให้ในวันที่ 3 พฤษภาคมปี 2021 ซึ่งเป็นวันเกิดอายุครบ 18 ปีเต็ม เลเวอร์คูเซ่น ได้ต่อสัญญาใหม่กับ เวียร์ตซ์ อีกครั้ง โดยคราวนี้ต่อไปอีก 5 ปี หรือจนถึงปี 2026 เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่าสโมสรมองว่า เวียร์ตซ์ เป็นอนาคตของทีมอย่างแท้จริง ซึ่ง เวียร์ตซ์ ก็ไม่ได้ทำให้ เลเวอร์คูเซ่น ผิดหวัง เพราะเขายังคงสร้างสถิติต่อไปเรื่อยๆ

ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ปี 2021 เวียร์ตซ์ ยิงได้ในเกมที่บุกไปเอาชนะ แอร์เบ ไลป์ซิก 3-1 ถือเป็นประตูที่ 5 ของเขาในบุนเดสลีกา ฤดูกาล 2021-22 และนั่นทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้มากกว่า 10 ประตูในบุนเดสลีกาก่อนที่จะมีอายุครบ 19 ปี จากนั้นในวันที่ 15 ธันวาคม เขาก็ทำสถิติเป็นนักที่มีอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในบุนเดสลีกาครบ 50 นัด หลังได้ลงเล่นในเกมที่พบกับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ในขณะที่มีอายุเพียง 18 ปีกัยอีก 223 วัน

อย่างไรก็ตาม ในเวลาที่เขากำลังพุ่งแรงแบบที่ไม่มีอะไรมาฉุดไว้ได้ เวียร์ตซ์ ก็ต้องมาเจอกับอาการบาดเจ็บครั้งใหญ่ เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าฉีกขาด หรือที่เรามักเรียกกันย่อๆ ว่า เอซีแอล ในวันที่ 13 มีนาคม 2022 ในเกมที่ เลเวอร์คูเซ่น พ่ายต่อ เอฟซี โคโลญจน์ 1-0 นั่นทำให้เขาพลาดการลงเล่นในบุนเดสลีกาฤดูกาล 2021-22 ช่วงที่เหลือไปทั้งหมด และต้องใช้เวลาพักฟื้นไปนานถึง 10 เดือน

แต่ด้วยความที่อายุยังน้อยทำให้ เวียร์ตซ์ กลับมาลงเล่นในบุนเดสลีกาได้อีกครั้งแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และในฤดูกาล 2022-23 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในชีวิตของเขา เมื่อเขามีส่วนสำคัญในการช่วยให้ เลเวอร์คูเซ่น ภายใต้การคุมทีมของ ชาบี อลอนโซ่ คว้าดับเบิ้ลแชมป์มาครองได้ หลังคว้าทั้งแชมป์บุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ โพคาล มาครอง

ซึ่งในส่วนของแชมป์บุนเดสลีกานั้น ถือเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ เลเวอร์คูเซ่น ด้วย และยังเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์แบบไร้พ่ายด้วยเช่นกัน โดยทีมห้างขายยาทำสถิติชนะ 28 เสมอ 6 ไม่แพ้ใคร เก็บไปถึง 90 คะแนน ทิ้งห่างรองแชมป์ในปีนั้นอย่าง สตุ๊ตการ์ท มากถึง 17 แต้มเลยทีเดียว

และถ้าหากว่า เลเวอร์คูเซ่น มีโชคเข้าข้างกว่านี้อีกสักเล็กน้อย พวกเขาจะทำสถิติที่อาจจะไม่มีใครทำได้ไปอีกแสนนาน นั่นคือการเป็น "ทริปเปิ้ลแชมป์" แบบไร้พ่าย เนื่องจากใน ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ปีนั้น พวกเขาไม่แพ้ใครเลยตั้งแต่ในรอบแบ่งกลุ่มไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยในรอบแบ่งกลุ่มนั้นพวกเขาชนะ 6 เกมรวด จากนั้นในรอบน็อคเอาท์ตั้งแต่รอบ 16 ทีมจนถึงรอบรองชนะเลิศพวกเขาก็ไม่เคยแพ้ใคร โดยแบ่งเป็นชนะ 3 เสมอ 3 แต่ในรอบชิงชนะเลิศ กลับพ่ายต่อ อตาลันต้า ไปอย่างยับเยิน 3-0

อย่างไรก็ตาม นั่นก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากๆ แล้วของ เลเวอร์คูเซ่น และในฤดูกาลนั้น เวียร์ตซ์ ก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อทำไป 18 ประตูกับอีก 20 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 49 นัดในทุกรายการ ทำให้เขาได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของบุนเดสลีกาไปครองด้วยเช่นกัน

ในฤดูกาล 2024-25 ที่เพิ่งจบลงไปนั้น แม้ว่า เลเวอร์คูเซ่น จะไม่สามารถป้องกันแชมป์บุนเดสลีกาเอาไว้ได้ โดยจบเพียงแค่ตำแหน่งรองแชมป์ และมีแต้มตามหลังแชมป์อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ถึง 13 คะแนน ขณะที่ในรายการใหญ่อย่าง แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ไปได้แค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น และตกรอบด้วยน้ำมือของทีมเสือใต้เช่นกัน แต่ผลงานส่วนตัวของ เวียร์ตซ์ ก็ยังคงโดดเด่นเหมือนเดิม เมื่อจัดการทำไป 16 ประตูกับอีก 15 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 45 เกมรวมทุกรายการ

ขณะที่การเล่นให้กับทีมชาติเยอรมนีนั้น เวียร์ตซ์ เริ่มต้นติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2021 และอยู่ในทีมอินทรีเหล็กชุดลุยศึกยูโร 2024 ที่ เยอรมนี เป็นเจ้าภาพ และยังสร้างสถิติเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดของเยอรมันที่ทำประตูได้ในรายการนี้ ด้วยวัย 21 ปีกับอีก 42 วัน แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว เยอรมนี จะไปไม่ถึงฝั่งฝัน หลังตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการแพ้ สเปน 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ตอนนี้ เวียร์ตซ์ เล่นให้ทีมอินทรีเหล็กไปแล้วทั้งสิ้น 29 นัด ทำไปแล้ว 6 ประตู

การอำลาทีมของกุนซืออย่าง อลอนโซ่ หลังจบฤดูกาลนี้ น่าจะมีผลไม่น้อยต่อการตัดสินใจของนักเตะหลายราย ในการมองหาความท้าทายครั้งใหม่ เริ่มต้นจากในรายของ เจเรมี่ ฟริมปง ที่ถูก ลิเวอร์พูล จ่ายค่าฉีกสัญญาคว้าตัวไปร่วมทีม เพื่อเป็นตัวแทนของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่กำลังจะย้ายไป เรอัล มาดริด แบบไร้ค่าตัว

รวมถึงในรายของ โยนาธาน ทาห์ ปราการหลังของทีม ที่คาดว่าน่าจะย้ายไปเป็นสมาชิกใหม่ของ บาเยิร์น มิวนิค ในเร็วๆ นี้ และแน่นอนว่า เวียร์ตซ์ ก็ตกเป็นเป้าหมายของทีมเสือใต้ด้วยเช่นกัน ถึงขั้น อูลี่ เฮอเนส ประธานกิตติมศักดิ์ของ บาเยิร์น เป็นคนเข้ามาเจรจาด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม กลายเป็นเรื่องที่สุดเซอร์ไพรส์ เพราะ เวียร์ตซ์ กลับตัดสินใจเลือก ลิเวอร์พูล มากกว่า ทำให้ทีมหงส์แดงที่รู้ตัวว่ามีสิทธิ์คว้าตัวเพชรเม็ดงามของวงการฟุตบอลเยอรมันรายนี้ รีบเดินเครื่องเจรจาทันที และตอนนี้ก็ใกล้ที่จะได้บทสรุปแล้ว โดยคาดว่ามูลค่าในการย้ายทีมของ เวียร์ตซ์ นั้น มีโอกาสพุ่งไปถึง 150 ล้านยูโร หรือราวๆ 5,566 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นราคานี้จริง จะทำให้ เวียร์ตซ์ กลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล ทันที

แม้ว่าการย้ายทีมจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่หลายฝ่ายคาดกันว่า เวียร์ตซ์ น่าจะได้ย้ายไปเป็นสมาชิกใหม่ของทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกทีมล่าสุดอย่างแน่นอน และนั่นคือการเดินทางครั้งใหม่ และความท้าทายที่ใหญ่กว่าเดิมของดาวเตะวัย 22 ปี ซึ่งเราคงต้องมาจับตาดูกันว่า เวียร์ตซ์ จะยังคงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม เหมือนอย่างที่เล่นในบุนเดสลีกาตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือไม่...

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : AFP