5 ขั้นตอน Test Rider ทำอะไรใน MOTOGP

5 ขั้นตอน Test Rider ทำอะไรใน MOTOGP



โมโตจีพี เป็นหนึ่งในการแข่งขันจักรยานยนตร์ทางเรียบที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสำหรับแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตส์ทั่วโลก และเชื่อได้เลยว่า โมโตจีพี 2025 มีชาวไทยให้ความสนใจและติดตามมากขึ้นไปอีกจากการเริ่มประเดิมสนามในฤดูกาลนี้บุรีรัมย์ หรือ ไทย กรังด์ปรีซ์ ซึ่งผ่านไปไม่นานเมื่อเดือนก.. นี้ และยังมีนักบิดชาวไทยคนแรกในโมโตจีพีอย่าง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา 


แต่นอกจาก 22 นักบิดจาก 11 ทีมที่เรารู้จักกันดี ยังมีทีมงานมากมายเบื้องหลังความสำเร็จ และตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่เป็นเสมอนคนกลางระหว่างนักบิดกับทีมงานโดยเฉพาะเหล่าวิสวกรและนักพัฒนารถ ก็คือ นักขับทดสอบรถหรือ Test Rider 


ทุกฤดูกาล โมโตจีพี จะเริ่มทดสอบเมื่อจบซีซั่น เตรียมตัวก่อนพักเบรกแบบข้ามปี เพราะการแข่งขันอันยาวนาน และเริ่มใหม่ในต้นปีถัดไป ที่เหล่านักบิดและทีมงานรู้กันดีในชื่อว่าเบรกฤดูหนาว แต่ที่จริงแล้ว ทีมงานอาจมีเวลาพักไม่นาน เพราะเมื่อเข้าสู่ปีใหม่ ก็จะเตรียมการเพื่อฤดูกาลที่จะมาถึงในเดือนที่สองของปี 


นักขับทดสอบรถก็เช่นกัน หน้าที่ของนักขับนอกจากทดสอบรถ ก็คือการเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม เพราะรถที่นำมาทดสอบก่อนเริ่มฤดูกาลคือรถที่จะส่งต่อไปให้กับนักขับตัวจริงของทีม ดังนั้น เทสต์ไรเดอร์จึงมีหน้าที่สำคัญหลายขั้นตอน 


1. Development and Refinement

พัฒนาและปรับปรุงโครงสร้าง


ผู้ทดสอบรถคือคนกลุ่มแรกที่จะได้ขับรถโมเดลใหม่เอี่ยมที่เตรียมไว้สำหรับฤดูกาลใหม่ ซึ่งหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ การทดสอบรถก็ไม่ต่างอะไรจากการชิมอาหารในร้าน ก่อนที่จะเปิดขายเพื่อพิสูจน์ว่า รสชาติ ปริมาณ และความสมดุลของแต่ละจานนั้นดีพอที่จะไปถึงลูกค้า 


ในรถแต่ละคันมีโครงสร้าง เครื่องยนตร์ ชุดแอโรไดนามิก ระบบแผงควบคุม ยางรถ และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นเมื่อทดลองขับแล้ว ผู้ทอดสอบจะต้องให้รายละเอียดต่างๆ กับวิศวกรอย่างครบถ้วน ไม่ใช่แค่บอกว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ต้องให้ข้อมูลว่า การถ่ายน้ำหนักในการเข้าโค้งหรือออกจากโค้งเป็นอย่างไร การเบรกมีอาการกระตุกหรือไม่ ช่วงที่ทำความเร็วคงที่เป็นอย่างไร การยึดเกาะดีมากไหม ถ้าไม่ดีคาดว่ามาจากสาเหตุใด และข้อมูลเหล่านี้จะส่งไปที่วิศวกรเก้บข้อมูล


การทดสอบเป็นไปได้หลากหลายรูปแบบ อาจมีการขับรถมากกว่า 1 คันเพื่อทำการเปรียบเทียบแบบ A-B Testing นอกจากนี้ นักขับทดสอบจำเป็นต้องรู้ด้วยว่า สไตล์การขับของไรเดอร์ตัวจริงเป็นอย่างไร และทีมวิศวกรจะปรับแต่งอะไรให้ได้ใกล้เคียงมากที่สุด จึงเป็นงานที่อาศัยประสบการณ์อย่างมาก และต้องทดสอบซ้ำๆ หลายๆ แบบ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยกับผู้ขับขี่มากที่สุด


สรุปข่าว

Test Rider คือฟันเฟืองสำคัญที่แม้จะอยู่เบื้องหลังแต่ไม่มีทีมใดประสบความสำเร็จได้หากขาดพวกเขา บทบาทของนักขับทดสอบไม่ใช่แค่การลองขี่รถใหม่เท่านั้น แต่เป็นกระบวนการร่วมพัฒนา ปรับแต่ง และทดสอบชิ้นส่วนทุกระบบให้ถึงขีดสุด และอาจเป็นถึงพี่เลี้ยงของนักขับตัวหลัก



โมโตจีพี เป็นหนึ่งในการแข่งขันจักรยานยนตร์ทางเรียบที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสำหรับแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตส์ทั่วโลก และเชื่อได้เลยว่า โมโตจีพี 2025 มีชาวไทยให้ความสนใจและติดตามมากขึ้นไปอีกจากการเริ่มประเดิมสนามในฤดูกาลนี้บุรีรัมย์ หรือ ไทย กรังด์ปรีซ์ ซึ่งผ่านไปไม่นานเมื่อเดือนก.. นี้ และยังมีนักบิดชาวไทยคนแรกในโมโตจีพีอย่าง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา 


แต่นอกจาก 22 นักบิดจาก 11 ทีมที่เรารู้จักกันดี ยังมีทีมงานมากมายเบื้องหลังความสำเร็จ และตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่เป็นเสมอนคนกลางระหว่างนักบิดกับทีมงานโดยเฉพาะเหล่าวิสวกรและนักพัฒนารถ ก็คือ นักขับทดสอบรถหรือ Test Rider 


ทุกฤดูกาล โมโตจีพี จะเริ่มทดสอบเมื่อจบซีซั่น เตรียมตัวก่อนพักเบรกแบบข้ามปี เพราะการแข่งขันอันยาวนาน และเริ่มใหม่ในต้นปีถัดไป ที่เหล่านักบิดและทีมงานรู้กันดีในชื่อว่าเบรกฤดูหนาว แต่ที่จริงแล้ว ทีมงานอาจมีเวลาพักไม่นาน เพราะเมื่อเข้าสู่ปีใหม่ ก็จะเตรียมการเพื่อฤดูกาลที่จะมาถึงในเดือนที่สองของปี 


นักขับทดสอบรถก็เช่นกัน หน้าที่ของนักขับนอกจากทดสอบรถ ก็คือการเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม เพราะรถที่นำมาทดสอบก่อนเริ่มฤดูกาลคือรถที่จะส่งต่อไปให้กับนักขับตัวจริงของทีม ดังนั้น เทสต์ไรเดอร์จึงมีหน้าที่สำคัญหลายขั้นตอน 


1. Development and Refinement

พัฒนาและปรับปรุงโครงสร้าง


ผู้ทดสอบรถคือคนกลุ่มแรกที่จะได้ขับรถโมเดลใหม่เอี่ยมที่เตรียมไว้สำหรับฤดูกาลใหม่ ซึ่งหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ การทดสอบรถก็ไม่ต่างอะไรจากการชิมอาหารในร้าน ก่อนที่จะเปิดขายเพื่อพิสูจน์ว่า รสชาติ ปริมาณ และความสมดุลของแต่ละจานนั้นดีพอที่จะไปถึงลูกค้า 


ในรถแต่ละคันมีโครงสร้าง เครื่องยนตร์ ชุดแอโรไดนามิก ระบบแผงควบคุม ยางรถ และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นเมื่อทดลองขับแล้ว ผู้ทอดสอบจะต้องให้รายละเอียดต่างๆ กับวิศวกรอย่างครบถ้วน ไม่ใช่แค่บอกว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ต้องให้ข้อมูลว่า การถ่ายน้ำหนักในการเข้าโค้งหรือออกจากโค้งเป็นอย่างไร การเบรกมีอาการกระตุกหรือไม่ ช่วงที่ทำความเร็วคงที่เป็นอย่างไร การยึดเกาะดีมากไหม ถ้าไม่ดีคาดว่ามาจากสาเหตุใด และข้อมูลเหล่านี้จะส่งไปที่วิศวกรเก้บข้อมูล


การทดสอบเป็นไปได้หลากหลายรูปแบบ อาจมีการขับรถมากกว่า 1 คันเพื่อทำการเปรียบเทียบแบบ A-B Testing นอกจากนี้ นักขับทดสอบจำเป็นต้องรู้ด้วยว่า สไตล์การขับของไรเดอร์ตัวจริงเป็นอย่างไร และทีมวิศวกรจะปรับแต่งอะไรให้ได้ใกล้เคียงมากที่สุด จึงเป็นงานที่อาศัยประสบการณ์อย่างมาก และต้องทดสอบซ้ำๆ หลายๆ แบบ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยกับผู้ขับขี่มากที่สุด



2. Testing for Reliability

ทดสอบรถเพื่อความแน่นอนและเชื่อถือได้


หลังจากพัฒนาขั้นต้นและปรับโครงสร้างในขั้นตอนแรก จะมีข้อมูลมากมายอยู่ในมือทีมงาน ขั้นตอนต่อไปคือพัฒนาการต่อเนื่องแบบเชิงลึก ถ้าคิดว่าการขับทดสอบช่วงแรกยากและยาวนานแล้ว ช่วงนี้ก็จะยาวนานขึ้นไปอีก เพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้าง ชิ้นส่วนและระบบต่างๆ จะไม่สึกหรอได้โดยง่าย ต้องอยู่ในสภาวะที่พร้อมสำหรับการแข่งขันยาวนานอย่างกรังด์ปรีซ์ 


การทำงานกับข้อมูลก็จะซับซ้อนมากขึ้น และอาจต้องใช้สัญชาติญาณให้มาก แม้ข้อมูลไม่บอก แต่หากมีความรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย เช่นการเข้าโค้งมีการตอบสนองช้า หรือมีปัญหาเวลาเบรก ก็ต้องแจ้งให้ทราบ และเนื่องจากการทดสอบครั้งนี้เป็นการจำลองสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง จึงมีชุดข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการเสื่อมสภาพ (Degradation Pattern) เข้ามาด้วย และการตอบรับข้อมูลต่างๆ จะมีความเป็นระบบมากกว่าขั้นตอนแรก


3. Competitive Advantage

ทดสอบรถเพื่อความได้เปรียบคู่แข่งในสนาม 


จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม การมีนักขับทดสอบรถทำให้ทีมสามารถวางแผนล่วงหน้าได้เป็นปี โดยเฉพาะเมื่อผู้ทดสอบรถลงขับในฐานะ Wild Card ของการแข่งขันรอบจริง เนื่องจากรถที่ลงสนามอาจไม่ใช่รถคันเดียวกับที่นักขับตัวหลักใช้งาน เพียงแค่ยังอยู่ภายใต้กฎของสหพันธ์ฯ (FIM) ลงขับเพื่อเก็บข้อมูลเตรียมไว้สำหรับการพัฒนารถในฤดูกาลต่อไป หรือเป็นการทดสอบอะไรบางอย่าง โดยข้อมูลทั้งหมดย่อมเป็นความลับที่คู่แข่งไม่สามารถทราบได้


กรณีที่นักขับมีอาการบาดเจ็บ เช่นในฤดูกาลปัจจุบัน ฆอร์เก มาร์ติน ไม่สามารถลงแข่งได้ ทีมเอพริเลีย ึงส่งนักขับสำรองลงมา หรือที่สเปน กรัน เปรมิโอ เดอ เอสปันญ่า ฮอนด้า ให้นักขับทดสอบอย่าง อเล็กซ์ เอสปาร์กาโร่ ลงมาเป็นไวลด์การ์ดคนที่ 3 แม้ส่งทั้ง ลูก้า มารินี่ และ โจอัน มีร์ ลงขับด้วยก็ตาม 



4. Supporting Official Riders

สนับสนุนนักขับตัวหลัก 


เปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่าย นักขับทดสอบรถก็เป็นเหมือนพี่เลี้ยงของนักขับตัวหลัก จะเห็นได้ว่าหลายทีมใช้งานนักขับตัวเก๋า ผู้ที่มีประสบการณ์สูง แทนที่จะใช้งานเด็กอายุน้อยหรือนักขับหน้าใหม่ เพราะผู้ทดสอบรถขับมามาก รู้ถึงจุดสมดุลของรถและพื้นถนนแบบต่างๆ สามารถให้ข้อมูล และให้ความเห็นกับนักขับตัวจริง และแนะนำการขับขี่ได้ด้วย 


ที่น่าสนใจก็คือ การสนับสนุนด้านสภาพจิตใจ แม้ข้อมูลจากวิศวกรปรากฏออกมาแล้ว แต่หากนักขับยังรู้สึกไม่มั่นใจ นักขับทดสอบก็สามารถให้คำปรึกษาเชิงลึกในทางจิตใจหรือจิตวิทยาได้บ้าง เพื่อไม่ให้นักขับรู้สึกว่าคิดไปเอง เนื่องจากทีมงานวิศวกรอาจทำงานด้วยการอ้างอิงข้อมูลและวิทยาศาสตร์ แต่การขับรถนั้นก็ต้องใช้ความรู้สึกและใช้ศิลปะด้วยเช่นกัน 


5. Concession System

ระบบสัมปทานโมโตจีพี


โมโตจีพี คือการแข่งขันกีฬาที่มีระบบและลำดับเช่นเดียวกับกีฬาประเภทอื่น และทีมที่ส่งรถเข้ามาแข่งก็เหมือนได้รับสัมปทานจาก Dorna Sports เจ้าของลิขสิทธิ์ และเมื่อผลการแข่งขันออกมา สัมปทานก็มีการผ่อนผันให้กับแต่ละทีม ตามลำดับที่ทำได้ในฤดูกาลก่อน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ การแข่งขันไม่ห่างชั้นกันจนเกินไป 


ผลการจัดลำดับในปี 2025 

Rank A : ดูคาติ 

การทดสอบรถ 9 วันตามประกาศอย่างเป็นทางการ (+3วัน ที่สนามแข่งขัน ซึ่งทีมเป็นผู้เลือก และได้รับการรับรอง)


Rank B : ไม่มี


Rank C : เคทีเอ็ม และ เอพริเลีย 

การทดสอบรถ 9 วันตามประกาศอย่างเป็นทางการ (+3วัน ที่สนามแข่งขัน ซึ่งทีมเป็นผู้เลือก และได้รับการรับรอง) ไม่มี Wild Card 


Rank D : ฮอนด้า และ ยามาฮ่า 

การทดสอบรถ 9 วันตามประกาศอย่างเป็นทางการ และที่สนามแข่งขันใดก็ได้ ตลอดฤดูกาล (แต่ห้ามทดสอบรถในสนามที่กำลังจะแข่งขันก่อนถึงการแข่งขันจริง 14 วัน) สามารถใช้งานนักขับทดสอบรถหรือนักขับตัวจริงได้ และได้ 6 Wild Card


ซึ่งแต่ละ Rank ก็จะได้รับการจัดสรรยางที่จะใช้สำหรับทดสอบรถไม่เท่ากัน Rank A ได้น้อยกว่า Rank D ช่วงเบรกฤดูหนาว (ในเดือนม.. ของทุกปี) และเบรกฤดูร้อน (กลางฤดูกาล ประมาณ 3 สัปดาห์ในเดือนมิ.. - .. ของทุกปี) ห้ามมีการทดสอบรถ 


วันที่มีการทดสอบรถ โดยส่วนมากแล้วจะกินเวลารวมประมาณ 8 ชม. ในช่วงเช้าและช่วงบ่าย เนื่องจากการแข่งขันเกือบทั้งหมดเป็นการแข่งขันเวลากลางวัน ไนท์เรซ มีไม่มาก และมีอันตรายหากมีแสงสว่างไม่เพียงพอ การทดสอบไม่จำกัดเวลาและจำนวนรอบ ความท้าทายเดียวอยู่ที่การบริหารจำนวนยางที่ได้รับมา และปฏิบัติตามข้อบังคับของสหพันธ์ฯ ซึ่งส่วนใหญ่ออกแบบมาเพื่อรักษามาตรฐานและเพื่อความปลอดภัย โดยนักขับทดสอบรถมีหน้าที่เตรียมตัวและฟิตร่างกายให้พร้อม 


เห็นได้เลยว่า นักขับทดสอบรถหรือ Test Rider เป็นตำแหน่งที่ทำงานอย่างหนักไม่ต่างจากนักขับในสนาม ต้องเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม เพื่อการทดสอบอันยาวนาน และยังต้องมีความแข็งแกร่งทางจิตใจในฐานะเพื่อนคู่คิดของทั้งวิศวกรและนักขับในทีม แถมยังสอดแทรกอยู่ในทุกขั้นตอนของการพัฒนารถ กว่าจะได้ขับออกมาสู่สายตาแฟนๆ และเพื่อให้ทีมพร้อมที่สุด เพื่อมุ่งไปสู่ชัยชนะ เป็นหนึ่งในเบื้องหลังความสำเร็จของทีม 

ที่มาข้อมูล : MOTOGP HONDA RACING THAILAND

ที่มารูปภาพ : HONDA RACING THAILAND

แท็กบทความ