ผู้เชี่ยวชาญเตือนไวรัสโคโรนาคุกคามเศรษฐกิจโลกหนักกว่าโรคซาร์ส
ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์ประเมินความเสียทางเศรษฐกิจโลกจากความรุนแรงของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา คาดมีแนวโน้มรุนแรงหนักหน่วงกว่าโรคซาร์ส
วันนี้ (31ม.ค.63) นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักสรุปว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในขณะนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ขนาดเศรษฐกิจของจีนขยายตัวเติบโตมากกว่าช่วงไวรัสซาร์สระบาดหลายเท่าตัว อีกทั้งในช่วงเวลานั้น เศรษฐกิจของจีนกำลังโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งตรงกันข้ามกับสถานการณ์เศรษฐกิจจีนในปัจจุบันที่ใหญ่กว่ามาก และยังอยู่ในช่วงชะลอตัวอย่างชัดเจน จากสงครามการค้าและกำลังการบริโภคภายในที่แผ่วลง
ทั้งนี้ หากมองในแง่ดีที่สุด การระบาดของไวรัสโคโรนาจะทำให้การเติบโตของจีดีพีจีนในช่วงไตรมาสแรกลดลงจาก 6% มาอยู่ที่ 5% ก่อนค่อยๆ ฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง แต่หากสถานการณ์เลวร้ายเกินกว่าที่คาดการณ์กันไว้ จีดีพีของจีนในปีนี้ตลอดทั้งปีก็อาจจะชะลอตัวยาวจนถึงสิ้นปี
นอกจากนี้ มาตรการปิดเมืองปิดโรงงานเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส ยังส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมการผลิต และการจ้างงานในตลาดจีน อีกทั้งด้วยสถานะที่จีนเป็นซัพพลายเออร์และห่วงโซ่การผลิตที่สำคัญของบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติหลายแห่งทั่วโลก ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมีแนวโน้มมากกว่าโรคซาร์สระบาดอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้านสถานการณ์ความคืบหน้าของการแพร่ระบาดล่าสุดบรรดานักบินและลูกเรือของสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส และอเมริกันแอร์ไลน์สได้ยื่นจดหมายเรียกร้องให้สายการบินระงับเส้นทางบินเข้าออกจีนทั้งหมด หลังจากที่สายการบินระงับเส้นทางบินแค่บางส่วนเท่านั้น รวมถึงอนุญาตให้นักบินสามารถปฎิเสธไม่ปฎิบัติงานด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยหากเห็นว่าเที่ยวบินดังกล่าวเป็นอันตรายต่อความปลอดภัย หรือที่เรียกว่า Drop the trip without pay
ข้อเรียกร้องของบรรดานักบินและลูกเรือมีขึ้นในช่วงเวลาที่หลายสายบินทั่วโลกทยอยปรับลดจำนวนเที่ยวบิน หรือระงับการให้บริการบนเส้นทางเข้า-ออกจีนเป็นการชั่วคราว ส่วนเส้นทางที่ยังเปิดให้บริการก็มีการเพิ่มมาตรการป้องกัน เช่น อนุญาตให้พนักงานสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือป้องกันระหว่างปฎิบัติหน้าที่บนเครื่อง ขณะที่ สายการบินโคเรียน แอร์ ได้เตรียมชุดปลอดเชื้อให้พนักงานสำหรับดูแลผู้โดยสารที่ต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อไวรัส
ด้านสถานการณ์ความคืบหน้าล่าสุดของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นมาอยู่กว่า 200 คน จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เกือบ 10,000 คน โดยหลังจากที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เป็นภาวะฉุกเฉิน ทางการสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามพลเรือนของตนเดินทางไปจีนอย่างเด็ดขาด ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกเพิ่มมาตรการตรวจตราคัดกรองอย่างเข้มงวด ส่วนประเทศที่อยู่ติดกับจีน หรืออยู่ใกล้จีน เช่น รัสเซีย ประกาศสั่งปิดพรมแดนและหยุดการออกอิเล็กทรอนิกส์ วีซ่า ให้แก่ชาวจีน
ส่วนของภาคธุรกิจก็เริ่มทยอยออกมายอมรับความเสียหายทางการเงินที่จะกระทบต่อรายได้และผลประกอบการของบริษัทโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปี 2020 โดยวันนี้ ลีวายส์ ผู้ผลิตเสื้อผ้ายีนส์ชั้นนำของสหรัฐฯ ระบุว่า ได้สั่งปิดร้านค้าของลีวายส์ในจีนมากกว่าครึ่ง ซึ่งมีแนวโน้มทำให้ยอดขายลีวายส์สะดุดลงได้ โดยรายได้จากจีนคิดเป็นสัดส่วน 3% ของรายได้ทั้งหมดของลีวายส์
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand