TNN online 3 ปัจจัยบวก! หนุนหุ้นไทยเด่นสุดในเอเชียชู 3 หุ้นเด็ด

TNN ONLINE

Wealth

3 ปัจจัยบวก! หนุนหุ้นไทยเด่นสุดในเอเชียชู 3 หุ้นเด็ด

3 ปัจจัยบวก! หนุนหุ้นไทยเด่นสุดในเอเชียชู 3 หุ้นเด็ด

หุ้นไทยปิดบวก 12.33 จุดเด่นสุดในเอเชียจาก 3 ปัจจัยหนุน แรงซื้อหุ้นบิ๊กแคปคึกคัก ระวังดัชนีแผ่วประเมินกรอบแนวรับพรุ่งนี้ 1,615 จุด แนวต้านที่ 1,650 จุด เชียร์ 3 หุ้นเด็ด

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส  เปิดเผยถึง  ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,635.28 จุด บวก 12.33 จุด หรือ 0.76 % โดยระหว่างวันดัชนีเคลื่อนไหวสูงสุดที่ระดับ1,635.35 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,623.60 จุด  ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 58,704.94 ล้านบาทว่า ตลาดหุ้นไทยปิดบวกเด่นกว่าประเทศอื่นในเอเชีย มาจาก 3 ปัจจัยหนุนคือ 1.การรายงานงบไตรมาส 1/65 ของบริษัทจดทะเบียน 630 บริษัทกำไร 2.74 แสนล้านบาท เติบโต 9.7%  ขณะที่จีดีพีโต 2.2%  ถือว่ากำไรบจ.โตเด่นกว่าจีดีพี


2.เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแตะระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐจากเงินทุนไหลเข้าหุ้นไทย8,000 ล้านบาท  สัญญาฟิวเจอร์ส SET 50 อีก 7.1 หมื่นล้านบาท

3.ผู้ว่ากทม.คนใหม่ เพราะในอดีตทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งช่วง 1 สัปดาห์ดัชนีหุ้นไทยบวก 2-3 % ไม่นับตอนเกิดซัพไพร์ม เพราะจีดีพีในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลมีสัดส่วน50% ของจีดีพีทั้งประเทศ


สำหรับหุ้นที่ดันดัชนีในวันนี้เป็นหุ้นขนาดใหญ่ เช่น PTT+2% SCB +2.2% GULF+1%BEM+2.8%  ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียมีทั้งบวกและลบสลับกัน  เช่น ญี่ปุ่น +0.98%ฮ่องกงติดลบ 1.2%  อินโดนีเซียติดลบ 1.1% 


ส่วนปัจจัยที่ติดตามการรายงาน fed minutes และฝีดาษลิงหากแพร่ระบาดในไทยเป็น sentiment ต่อตลาดหุ้นได้ เนื่องจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหากมีปัญหาดังกล่าวขึ้นทำให้ท่องเที่ยวชะลอตัวลงได้ อย่างไรก็ตาม ดัชนีที่ปรับขึ้นไปก่อนหน้านี้มีโอกาสแผ่วลงได้ ประเมินกรอบแนวรับพรุ่งนี้ 1,615 จุด แนวต้านที่ 1,650 จุด



ด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีฟันด์โฟลว์หนุน นำโดยSTEC ราคาเป้าหมาย 18 บาท  งวด 1Q65 กำไรสุทธิ 232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17%YoY

รายได้ก่อสร้างยังไม่กลับสู่ระดับปกติจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน แต่มีอัตรากำไรดีขึ้นจากสัดส่วนงาน margin ต่ำที่ทยอยหมดลง เชื่อแนวโน้มผลประกอบการช่วงที่เหลือของปีจะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามยอดรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น จากการที่ภาครัฐเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าว 


โดย STEC ยังมี Backlog รอรับรู้รายได้มากกว่า1.2 แสนล้านบาท รองรับรายได้ช่วง 4 ปีข้างหน้าราคาหุ้นปรับตัวลดลง 12% นับจากต้นปี สวนทางกับ

พื้นฐานของบริษัทที่มีพัฒนาการเชิงบวกอย่างชัดเจนปัจจุบัน STEC ซื้อขายที่ PBV ต่ำเพียง 1.10 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ถึง 67% และมีค่า PER ต่ำเพียง17.2 เท่า ประเมิน FV อิง Historical PER 24 เท่า ได้18.00 บาท แนะนำ ซื้อ


หุ้นเด่นถัดมาคือ MINTราคาเป้าหมาย 42.50 บาท การฟื้นตัวชัดขึ้นตั้งแต่ 2Q65แม้แนวโน้มการดำเนินงานของ NH Hotel ใน EU มีพัฒนาการที่ดีขึ้นตั้งแต่ 2Q65 สะท้อนจาก Occupancyrate เม.ย. อยู่ที่ประมาณ 63% (2Q62 ที่ 75%) และมีทิศทางดีต่อเนื่อง ส่วนค่าห้องพักปรับเพิ่มจาก 90 ยูโรต่อห้องต่อคืนในงวด 1Q65 มาที่ 110 ยูโรต่อห้องต่อคืน 


ส่วนโรงแรมไทยคาดการณ์ฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ 2H65 โดยเฉพาะ4Q65 หนุนด้วยแผนการเปิดประเทศของภาครัฐและ HighSeason ของท่องเที่ยวไทย

คงสมมติฐานกำไรปี 2565 - 66 ฟื้นตัวสู่ระดับ 36% และ68% ของฐานกำไรปี 2562 ตามลำดับ มองหากราคาปรับฐานจากการดำเนินงานที่ผิดจากตลาดคาด สามารถทยอยสะสมได้


ปิดท้ายด้วย BBL ราคาเป้าหมาย 152 บาท  กำไรสุทธิ 1Q65 เท่ากับ 7.1 พันล้านบาท (+12.7%QOQ จาก ECL ลด, +2.8% YOY เพราะ PPOP ฟื้นตัว)

โดยรวมกำไรสุทธิ 1Q65 คิดเป็นสัดส่วน 25% ของประมาณการทั้งปี จึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่2.9 หมื่นล้านบาท เติบโต 9% YOY ทั้งนี้ แนวโน้ม 2Q65กำไรชะลอตัว Q0Q จากค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล (แต่บวกYoY จากกำไร 6.4 พันล้านบาทในงวด 2Q64)ยามดอกเบี้ยขาขึ้น ถือเป็นธนาคารที่ได้เปรียบกว่ากลุ่มฯจากโครงสร้างสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง


นอกจากนี้พอร์ตสินเชื่อรายใหญ่สามารถทนทานต่อInflation ได้มากกว่ารายย่อยและ SME ผ่านการส่งผ่านราคาสินค้า กอปรกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรงตัวสูงเอื้อต่อการ Recovery ของเศรษฐกิจอินโดฯ บวกต่อธนาคาร Permata


ที่มา:นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส  

ภาพประกอบ :  บล.เอเซีย พลัส  

 

ข่าวแนะนำ