ปี 64 ทองคำโลกลดลง 5% แต่ทองไทยพุ่ง 6% คาดเดือนธ.ค.มีโอกาสดีดตัวขึ้น
วายแอลจี เผยภาพรวมปี 64 ทองคำโลกลดลง 5% แต่ทองไทยพุ่ง 6% หลังค่าเงินบาทอ่อนค่า เพิ่มโอกาสทำกำไรให้นักลงทุนไทย ห่วงเงินเฟ้อแม้สหรัฐปรับลดวงเงิน QE แนะพอร์ตการลงทุนทองคำที่เหมาะสมอยู่ที่ 5-15% ของพอร์ตลงทุนรวม
วันนี้( 4 ธ.ค.64) นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่าภาพรวมตลอดทั้งปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงกับตลาดทองคำในประเทศไทยหลัก 2 ด้าน คือ ราคาทองคำในประเทศที่เปลี่ยนแปลงสวนทางกับราคาทองคำในตลาดโลก และพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปสู่การซื้อทองคำแบบออนไลน์มากขึ้น โดยในรอบปีที่ผ่านมาพบว่าราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลงประมาณ 5% แต่ราคาทองคำในประเทศกลับปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง อย่างไรก็ดีราคาทองคำในปี 2564 ทั้งปียังถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่ได้รับอานิสงส์จากการระบาดของโควิด -19 ที่ทำให้นักลงทุนหันไปหาทองคำในสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉเพาะในรูปแบบออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น และคาดว่าแม้ในอนาคตหากสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น แต่นักลงทุนจะยังนิยมการลงทุนในออนไลน์ต่อไปเพราะเริ่มคุ้นเคย และมีความสะดวก
อย่างไรก็ตามในปีหน้าแม้จะมีปัจจัยลบเข้ามาต่อตลาดทองคำเช่น การลดวงเงินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของสหรัฐ (QE) แต่มองว่าการลด QE ช่วงนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อทองคำมากนักเพราะสถานการณ์เงินเฟ้อปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ส่วนกรณีที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามาเป็นทางเลือกของนักลงทุนในปัจจุบันซึ่งอาจจะกระทบการลงทุนในทองคำนั้น มองว่าไม่ใช่ปัจจัยที่น่ากังวล เพราะโดยปกตินักลงทุนจะกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น พันธบัตร อัตราแลกเปลี่ยน และหุ้น อยู่แล้ว การที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามาก็ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ แต่ทุกครั้งที่นักลงทุนต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยก็จะกลับมาลงทุนในทองคำ
ทั้งนี้วายแอลจียังคงคำแนะนำนักลงทุนแบ่งสัดส่วนการลงทุน โดยการมีทองคำในพอร์ต 5-15% เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง โดยวายแอลจีประเมินราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในช่วงการปรับฐาน แต่หลังจากราคาปรับตัวลดลงมาสักระยะหนึ่งแล้ว ทำให้ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี คาดว่าราคาทองคำจะมีโอกาสดีดตัวขึ้นเป็นระยะ ให้กรอบภาพใหญ่ไว้ที่ 1,877 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 30,200 บาท ระยะสั้นมองที่แนวต้าน 1,803-1,833 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 29,100-29,300 บาท แนวรับที่ 1,751-1,707 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 28,150-27,450 บาท ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน คือ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในช่วงวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้
ข้อมูล: วายแอลจี บูลเลี่ยน
ภาพประกอบ : พีอาร์วายแอลจี