TNN online ต่างชาติทิ้งบอนด์ไทย 2.67 หมื่นล้าน! กดเงินบาทอ่อน

TNN ONLINE

Wealth

ต่างชาติทิ้งบอนด์ไทย 2.67 หมื่นล้าน! กดเงินบาทอ่อน

ต่างชาติทิ้งบอนด์ไทย 2.67 หมื่นล้าน! กดเงินบาทอ่อน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงรอบ 1 เดือน หลังนักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะพันธบัตรกว่า 2.67 หมื่นล้านบาท กังวลโควิดระบาดหนักหากผ่อนคลายล็อกดาวน์


นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ  33.32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลง จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 33.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าลงในรอบ 1 เดือน เนื่องจากถูกกดดันจากแรงขายสินทรัพย์ไทย จากความกังวลการระบาดหลังการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติลดการเก็งกำไรเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง 


ทั้งนี้เห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติต่างเทขายบอนด์ระยะสั้นออกมาจำนวนมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 26,773  ล้านบาท แบ่งเป็นพันธบัตรระสั้นมากถึง 19,741 ล้านบาท ที่เหลือเป็นพันธบัตรระยะยาว  นอกจากนี้ เงินบาทอาจผันผวนตามราคาทองคำได้เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์การประชุม FOMC ที่ราคาทองคำอาจผันผวนขึ้นได้ (ราคาทองคำปรับตัวลง ผู้เล่นในตลาดอาจเข้ามาแลกเงินดอลลาร์เพื่อซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง หรือสรุปได้ว่า ราคาทองลง เงินบาทอ่อนค่า) 


ส่วนในมุมแนวโน้มเงินดอลลาร์นั้น มีความเสี่ยงถูกขายทำกำไร หากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณการลดคิวอีไปมากกว่าที่ตลาดรับรู้แล้ว นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงต่อได้ หากเฟดแสดงความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังโมเมนตัมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลง


ทั้งนี้หลังจากที่เงินบาทอ่อนค่าทะลุระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทจะขยับอ่อนค่าลงจากช่วงก่อนหน้า โดย เงินบาทยังมีแนวต้านสำคัญอยู่ในโซน 33.30-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาผู้ส่งออกต่างรอเข้ามาทยอยขายดอลลาร์ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่ากลับไปที่ระดับดังกล่าวได้ ขณะเดียวกัน โซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะเป็นแนวรับที่บรรดาผู้นำเข้ารอทยอยแลกซื้อเงินดอลลาร์อยู่


มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.00-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.25-33.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ


ทั้งนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์เดินหน้าแข็งค่าขึ้นจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด รวมถึงรายงานยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ที่ขยายตัวดีขึ้นมากกว่าคาด


สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุม FOMC โดยเฉพาะประเด็นการปรับลดการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ คิวอี  โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้


ฝั่งสหรัฐฯ  ตลาดจะจับตาการประชุมเฟดอย่างใกล้ชิด หลังจากล่าสุด โมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอลง ซึ่งเป็นไปได้ว่า เฟดอาจมองว่า ปัจจัยเชิงลบต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ อาทิ ผลกระทบของการระบาด Delta รวมถึง ความวุ่นวายทางการเมืองสหรัฐฯ จากการพิจารณาเพดานหนี้ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงชั่วคราว 


ที่อัตราเงินเฟ้อและการจ้างงาน เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดมากขึ้น ทำให้ในการประชุมครั้งนี้ แม้ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.00-0.25% แต่เรามองว่า เฟดอาจเริ่มส่งสัญญาณการปรับลดคิวอีที่ชัดเจนมากขึ้น ส่วนการประกาศลดคิวอี รวมถึงรายละเอียดแผนการลดคิวอีที่ชัดเจนอาจเกิดขึ้นในการประชุมเดือนพฤศจิกายน และ เฟดอาจเริ่มลดคิวอีได้จริงในเดือนธันวาคม 


นอกเหนือจาก การประชุมเฟด ตลาดจะจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่าน รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนกันยายน ซึ่งตลาดมองว่า การฟื้นตัวของภาคการผลิตและการบริการอาจสะดุดลงเล็กน้อย ทำให้ขยายตัวในอัตราชะลอลง ซึ่งจะสะท้อนผ่าน ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการที่จะลดลงสู่ระดับ 60.8 จุด และ 55 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว)


ส่วนยุโรปการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจอังกฤษ ทำให้บรรดานักวิเคราะห์มองว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจเริ่มส่งสัญญาณสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น (Tightening Policy) อาทิ อาจมีเสียงสนับสนุนการทยอยลดคิวอีมากขึ้น ทั้งนี้ ตลาดมองว่า BOE จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.10% และอาจเริ่มทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้ในครึ่งหลังของปีหน้า หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ตามเป้า 


อย่างไรก็ตาม ในฝั่งยุโรป กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคการบริการ อาจขยายตัวในอัตราชะลอลงจากผลกระทบของการระบาด Delta ทั่วโลก โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการของยุโรป ในเดือนกันยายน อาจลดลงสู่ระดับ 60.4 จุด และ 58.5 จุด ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนี (Ifo Business Climate) ที่จะลดลงสู่ระดับ 98.9 จุด ในเดือนกันยายน


ฝั่งเอเชียบรรดาธนาคารกลางในเอเชีย มีแนวโน้มที่จะคงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่เริ่มจะทยอยฟื้นตัวได้ หลังปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในเอเชียอาจผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้ว โดยในฝั่งธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.125% อนึ่ง CBC อาจทยอยส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ หลังเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการระบาดไม่มากนัก 


ส่วนทางด้าน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ -0.1% พร้อมทั้งเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อสินทรัพย์ต่อ เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เริ่มดีขึ้น เช่นเดียวกับ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.5% เพื่อช่วยพยุงการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์การระบาดเริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจเผชิญความหนักใจในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.0% เนื่องจากสถานการณ์การระบาดในประเทศยังคงมีความรุนแรงอยู่ ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อก็ยังอยู่ในระดับสูง


ขณะที่ไทยปัญหาการระบาดของ COVID-19 ที่มีความรุนแรงมาก ทั้งในต่างประเทศและในประเทศช่วงเดือนสิงหาคม จะกดดันให้ ยอดการส่งออกไทย (Exports) ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เหลือ +17%y/y เช่นเดียวกับ ยอดนำเข้า (Imports) ที่จะขยายตัวเพียง +40% ทั้งนี้ ดุลการค้ายังคงเกินดุลราว 1.4 พันล้านดอลลาร์



ต่างชาติทิ้งบอนด์ไทย 2.67 หมื่นล้าน! กดเงินบาทอ่อน



ข่าวแนะนำ