หอการค้าแนะรัฐเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ 70% หวังเม็ดเงิน 1 ล้านล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ
"สนั่น"มองเศรษฐกิจไทยอยู่ในโซนสีเหลืองหลังเผชิญโควิดแนะรัฐเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ 70% หวังเม็ดเงิน 1 ล้านล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านส.อ.ท. วอนรัฐพักหนี้ทั้งต้น-ดอก เพิ่มบสย. ค้ำประกัน 70% ช่วยฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้มองว่าเศรษฐ กิจไทยอยู่ในโซนสีเหลือง โดยในปี 2563 เศรษฐกิจไทยเสียหายเกือบ 1 ล้านล้านบาท และในปี 2564 จากการแพร่ระบาดในรอบ 3 และ 4 รวมทั้งการล็อกดาวน์ ก็คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 8 แสน ถึง 1 ล้านล้านบาท ทำให้ภาคเอกชนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการบริโภคที่หดหายทั้งภาคบริการ การผลิต และการลงทุนภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้เศรษฐกิจในต่างประเทศเริ่มฟื้นตัว การส่งออกในรอบ 7 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวกว่า 16% ทำให้คาดว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายได้ 12-14% สูงกว่าประมาณการณ์ในช่วงต้นปีมาก เพราะยอดซื้อในต่างประเทศอั้นมานาน ส่งผลให้การเติบโตของ จีดีพี ในปีนี้จะอยู่ในระดับ 0.5-1% บนพื้นฐานที่การระบาดจะไม่เพิ่มมากขึ้นและควบคุมได้
นอกจากนี้ภาคเอกชนมองว่าการเปิดเมืองบนพื้นฐานของความปลอดภัยเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะโควิด-19 ยังอยู่กับเราไปอีกนาน ซึ่งการปรับตัวเพื่อเปิดเมืองเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยควรจะเปิดในกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำก่อน เช่น ห้างสรรพสินค้า เพราะพนักงานได้ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มหมดแล้ว และได้ปรับปรุงสถานที่และการบริหารจัดการให้มีความปลอดภัย สามารถควบคุมการให้บริการได้
โดยการค่อย ๆ เปิดเมืองในบางธุรกิจ จะทำให้เกิดการเรียนรู้ให้ธุรกิจอื่น ๆ ในการปรับตัว และในเดือนต.ค.มาตรการเปิดเมืองจะมีความเข้มงวดมากขึ้น ทำให้ทุกธุรกิจทยอยเปิดจนไปถึงการเปิดประเทศ โดย “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เป็นตัวอย่างที่ดีได้เรียนรู้ถึงปัญหาและปรับตัวไปในทิศทางที่ดี และจะเป็นแม่แบบในการเปิดเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ ให้เป็นเมืองที่มีความปลอดภัย ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้
ในส่วนของภาครัฐควรจะปรับเปลี่ยนวิธีในการสื่อสาร จากการแจ้งตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเป็นตัวตั้ง มาเป็นการแจ้งจำนวนผู้ติดเชื้อ และจำนวนเตียงที่เหลือในการรองรับผู้ป่วย จำนวนผู้เสียชีวิต และพื้นที่ที่มีการระบาด เพื่อให้ประชาชนได้ระวังตัว และควบคุมให้ระบบสาธารณสุขรองรับผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อทำแบบนี้ได้โควิด-19 ก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นที่ควบคุมได้
ขณะที่ภาคเอกชน ก็ได้พยายามช่วยตัวเองอย่างเต็มที่ โดยในส่วนของภาคอุตสาหกรรมก็มีมาตรการป้องกัน การกักตัว และควบคุมการระบาดอย่างเต็มที่ โดยหอการค้าไทย ก็ได้จัดทำระบบดิจิทัลเฮลท์ พลัส ในรูปแบบซุปเปอร์แอพพลิเคชั่น เพื่อเป็นระบบดิจิทัลที่ทุกฝ่ายนำไปใช้เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ยังได้จัดประชุม 40 ซีอีโอ บริษัทชั้นนำของประเทศ เพื่อร่วมมือและระดมความคิดในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 โดยได้มี 4 แนวทางที่สำคัญ คือ 1. การควบคุมการระบาด 2. การเยียยาผู้ประกอบการและประชาชนคู่กันไป 3. การกระตุ้นเศรษฐกิจ และ4. การฟื้นฟูประเทศ ซึ่งมองว่าโอกาสของประเทศกำลังกลับมาหากฉีดวัคซันให้กับประชาชนให้ได้ 50-70%
ส่วนในปี 2565 รัฐบาลควรจะกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจให้มีความท้าทายมากขึ้น ตั้งเป้าให้จีดีพีเติบโต 6 - 8% ซึ่งมีความเป็นไปได้ในภาวะที่คนไทยกว่า 50% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว เพื่อให้ไปทดแทนกับจีดีพีที่หายไปในช่วงปี 2563-2564 โดยภาครัฐจำเป็นต้องใช้กระสุนทางการคลัง ซึ่งควรจะเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะต่อจีพีดีจาก 60% เป็น 65-70% จะทำให้มีเงินเพิ่มขึ้นราว 7 แสน – 1.5 ล้านล้านบาท
โดยนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ประมาณ 5 แสนล้านบาท และเข้าไปอัดฉีดเศรษฐกิจในช่วงต้นปีหน้าในไตรมาส 1 – 2 อีก 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจไทยฟื้นตัวกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ และทำให้จีดีพีไทยเติบโตได้ตามเป้าหมายท้าทายที่ตั้งไว้
รวมทั้งภาครัฐควรจะกลับมาทบทวนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ใหม่ ว่าจะปรับเปลี่ยนอย่างไร เพราะโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทำให้ภาพรวมของโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก จึงต้องปรับยุทธศาสตร์ชาติให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา จีดีพี ไทยติดลบ 7-8% ในปีนี้คาดว่าจะโตได้ 1% แต่เมื่อเทียบกับปี 2562 ก็ยังติดลบอยู่ ดังนั้นรัฐบาลจะต้องตั้งเป้าจีดีพีในปี 2565 ให้อยู่ในระดับสูงถึง 7-8% เพื่อทดแทนกับจีดีพีที่หายไปในช่วงโควิด-19 ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีทางเป็นไปได้ โดยดูจากตัวเลขการส่งออกในปีนี้ที่ขยายตัวถึง 12-14% และมีแนวโน้มจะได้มากกว่านี้
โดยในวันนี้เศรษฐกิจโลกเปิดมากขึ้น แต่ทั้งนี้เครื่องยนต์หลักเศรษฐกิจ คือ อุตสาหกรรม , บริการ และเกษตร ซึ่งโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อภาคบริการอย่างรุนแรง ทั้งการท่องเที่ยว และธุรกินบริการต่อเนื่องตามมาทั้งหมด โดยเครื่องยนต์ในภาคอุตสาหกรรมยังพอเดินไปได้ เพราะการส่งออกรถยนต์เติบโตคาดว่าจะมียอดส่งออกถึง 1.6 ล้านคัน ทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนต่อเนื่องต่าง ๆ ตามมาอีกมากได้รับประโยชน์ รวมไปถิงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวขึ้นมาก จากอุปกรณ์ไอทีที่ต้องใช้ในช่วงโควิด-19
ซึ่งทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ ล้วนแต่เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย และไทนก็พึ่งพาจีดีพีจากการส่งออกสูงถึง 70% อีก 20% เป็นภาคบริการ และ 10% เป็นภาคการเกษตร ซึ่งหากการส่งออกเติบโตได้ดีก็เป็นส่วนสำคัฐที่จะผลักดันจีดีพีให้เติบโตได้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาคบริการ และเกษตร ที่เป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจหลัก ปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่สำคัญจะอยู่ภายในประเทศ ซึ่งในวันนี้วัคซีนโควิด-19 เริ่มไหลเข้ามาแล้ว และมีชุดตรวจ ATK เข้ามาอย่างเพียงพอ ส่งผลให้การตรวจพบการติดเชื้อได้ไว และมีการฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย ก็จะทำให้เศรษฐกิจทั้ง 2 ตัวนี้ ฟื้นกลับขึ้นมาได้
แต่ทั้งนี้ ที่สำคัญรัฐบาลไม่ควรเลือกใช้วิธีล็อกดาวน์อีก เพราะจากผลที่ผ่านมาในการล็อกดาวน์ในครั้งแรก ก็ส่งผลให้ลดการแพร่ระบาดลงไม่มาก แต่เศรษฐกิตตำต่ำสุดในรอบ 20 ปี เช่นเดียวกันการล็อกดาวน์ในปีนี้ ซึ่งที่สำคัญจะต้องหากคนป่วยให้พบโดยเร็วก็จะช่วยลดการเสียชีวิตและการระบาดลงได้มาก
“ในวันนี้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตตามปกติรถเริ่มติดใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 รวมทั้งผู้คนก็ปรับวิถีการดำเนินชีวิตระมัดระวังมากขึ้น มีการใส่หน้ากาก 100% ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือป้องกันความเสี่ยง และปรับวิธีการดำเนินชีวิจให้ปลอดภัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดการระบาดและฟื้นเศรษฐกิจได้เร็ว”
โดยในวันนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ได้เร่งปรับตัวไปแล้ว ห่วงแต่บริษัทขนาดเล็กที่ขาดสภาพคล่องในการปรับตัวรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นสถาบันการเงินจะต้องเร่งอัดเฉีดเงินเข้าไปเพื่อปรับปรุงสายการผลิต และสินค้า ซึ่งบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จะต้องเพิ่มวงเงินค้ำประกันจากปัจจุบันที่ 40% ไปเป็น 70% ซึ่งบางประเทศก็ให้ถึง 100% จะทำให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น
ทั้งนี้เงินกู้ที่ปล่อยออกมามั่นใจว่าจะคืนได้ภายใน 2 ปี เหมือนในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ที่หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้เร็ว และสามารถหาเงินมาคืนให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ก่อนกำหนด ซึ่งหากธนาคารอัดฉีดเม็ดเงินให้กับบริษัทที่มีพื้นฐานดี แต่ย่ำแย่เพราะโควิด-19 หากทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมก็จะโตได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งประเทศเติบโตขึ้นมาได้
นอกจากนี้ สิ่งเร่งด่วน ก็คือการพักชำระหนี้ทั้งต้นและดอก ซึ่งในส่วนของการพักดอกเบี้ยรัฐบาลควรเข้าไปช่วยเหลือธนาคาร และธนาคารก็ควรช่วยเหลือตัวเองในส่วนหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาธนาคารมีผลกำไรที่ดี และต้นทุนการดำเนินงานก็ลดลง จึงควรเข้ามาช่วยในส่วนนี้
“จะต้องเร่งช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้อยู่รอดก่อน ให้มีสภาพคล่องพอที่จะเลี้ยงตัวเอกได้ในช่วงนี้ หากเศรษฐกิจพลิกกลับมา ก็จะเติบโตต่อไปได้ และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติ”
ในส่วนของการลงทุน ประเทศไทยยังมีจุดเด่นอีกมาก ทั้งด้านผู้ประกอบการในประเทศก็ทำธุรกิจเก่ง ใครๆก็อยากมาค้าขายและลงทุนด้วย รวมทั้งสถานการณ์การเมืองโลกที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน ก็ยังคงรุนแรงขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างที่จะลดความเสี่ยงขยายการลงทุนในอาเซียนเพิ่มขึ้น ดังนั้นไทยจะต้องปรับตัวรองรับการลงทุนเหล่านี้ให้ได้
อย่างไรก็ตาม ในการดึงอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูง จะเป็นจะต้องผลักดันให้เกิดการร่วมลงทุนกับธุรกิจของไทย ไม่ใช่การลงทุนจากต่างชาติ 100% รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาภายในประเทศ จึงจะทำให้การลงทุนจากต่างชาติ เกิดประโยชน์กับประเทศไทยอย่างเต็มที่