หุ้นไทยวันนี้ ปิดร่วง 18.20 จุด เหตุนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจถดถอยหนักกว่าเดิม
หุ้นไทยปิดร่วงลง 18.20 จุด ที่ 1,527.66 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 81,295.03 ล้านบาท จากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง นักวิเคราะห์ชี้มีความเสี่ยงดัชนีหลุด 1,500 จุด
วันนี้( 5 ส.ค.64 ) ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,527.66 จุด ปรับลง -18.2 จุด หรือคิดเป็น -1.18% ด้วยมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 81,298 ล้านบาท เคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,526.91-1,547.38 จุด เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน จากแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มธนาคาร พลังงาน และสื่อสาร หลังจาก กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% แต่ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 64 เหลือ 0.7% จากเดิม 1.8% และปี 65 เหลือ 3.7% จากเดิม 3.9% เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงสูงจากไวรัสโควิด
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) ปิดปรับตัวลงภายหลังตลาดเดินหน้าปรับลดคาดการณ์จีดีพีต่อเนื่อง และบางแห่งคาดจีดีพีไทยปี 2564 จะปรับตัวลงติดลบ สวนทางทุกประเทศทั่วโลกที่ฟื้นตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงถดถอยรุนแรงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ขณะที่มาตรการทางการเงิน เช่น การปรับลดดอกเบี้ย และมาตรการทางการคลัง ยังไม่มีพัฒนาการใหม่ๆ เพิ่มเติม นอกจากนี้ หอการค้าไทยแถลงผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ค.ต่ำสุดในรอบ 31 เดือน ส่งผลให้กลุ่มหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) วันนี้ปรับตัวลงยกแผง
ซึ่งมุมมองตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนี้ (6 ส.ค.) คาดว่าดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,520 จุด หลังจากปรับตัวลงแรงวันนี้ อย่างไรก็ดี จากความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยคาดว่าระยะกลาง-ยาว SET Index มีความเสี่ยงปรับตัวลงที่แนวรับ 1,500 จุด และแนวต้าน 1,535-1,540 จุด ดังนั้น การลงทุนจึงแนะนำถือหุ้นกลุ่มที่มีความปลอดภัย (Defensive) เช่น กลุ่มสื่อสาร ADVANC และกลุ่มโรงไฟฟ้า BCPG และ BPP ส่วนกลุ่มอื่นๆ แนะนำหุ้นแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/64 แข็งแกร่ง III และซื้อขายทำกำไรเวียนกลุ่มเล่นตามตลาด
ด้านนายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงหลังจาก 2 วันที่ผ่านมาดัชนีฯได้ดีดกลับขึ้นไป ซึ่งหุ้นที่ปรับขึ้นไป 2 วันที่ผ่านมาก็มาปรับตัวลงในวันนี้อย่างกลุ่มโรงไฟฟ้า ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิดยังแย่ ยอดผู้ติดเชื้อเกินกว่า 2 หมื่นรายอีกวัน ส่งผลให้หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับลง แม้ว่าจะคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าจะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเป็นจริงตามคาดก็มีผลต่อตลาดฯด้วยเช่นกัน ส่วนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า อย่างหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และงบฯก็ดีด้วย อย่างไรก็ตาม แม้เงินบาทอ่อนค่าจะดีต่อกลุ่มส่งออก แต่ก็ไม่ดีต่อ Fund Flow ที่ตอนนี้ยังไม่ไหลเข้าไทย
ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวในแดนลบ ส่วนตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้บวกเล็กน้อย ซึ่งมองว่าทางฝั่งสหรัฐฯ และยุโรปมีทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมแนะติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯในวันศุกร์นี้
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (6 ส.ค.) นายมงคล กล่าวว่า ตลาดฯมีโอกาสรีบาวด์หลังลงไปมาก แต่ก็มองว่าตลาดช่วงนี้จะผันผวนไปตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิดที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดยังเพิ่มขึ้นได้อีก อย่างไรก็ดี การเล่นเก็งกำไรตามงบฯยังพอทำให้ตลาดฯแข็งแกร่งอยู่ พร้อมให้แนวรับ 1,520 จุด ส่วนแนวต้าน 1,540 จุด
ชณะที่น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนหลังจากนี้นักลงทุนยังต้องจับตายอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และการแก้ไขสถานการณ์ของภาครัฐ รวมทั้งการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ครั้งที่5การประชุมคณะกรรมการร่วม3สถาบันภาคเอกชน(กกร.)และสำนักงานประกันสังคมเริ่มโอนเงินเยียวยาให้ผู้ประกันตนตาม ม.33และการรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในหมวดต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศออกมาตลาดในช่วงเดือน ส.ค.นี้
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
1.7UP มูลค่าการซื้อขาย 6,212.92 ล้านบาท ปิดที่ 1.59 บาท ลดลง 0.19 บาท
2.IVL มูลค่าการซื้อขาย 3,479.27 ล้านบาท ปิดที่ 40.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
3.PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,204.41 ล้านบาท ปิดที่ 34.50 บาท ลดลง 0.50 บาท
4.KCE มูลค่าการซื้อขาย 1,979.68 ล้านบาท ปิดที่ 79.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
5. PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,916.37 ล้านบาท ปิดที่ 57.25 บาท ลดลง 1.00 บาท
