TNN online จับตาโควิด "มะกัน-แดนมังกร" ชี้รุนแรงซัดเศรษฐกิจโลกทรุด

TNN ONLINE

Wealth

จับตาโควิด "มะกัน-แดนมังกร" ชี้รุนแรงซัดเศรษฐกิจโลกทรุด

จับตาโควิด มะกัน-แดนมังกร   ชี้รุนแรงซัดเศรษฐกิจโลกทรุด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.94 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตลาดจับตาผู้ติดเชื้อโควิดในมะกัน-แดนมังกร หลังตัวเลขพุ่ง ชี้หากระบาดรุนแรงทุบเศรษฐกิจโลกอีกระลอก

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย  เปิดเผยว่า  ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  32.94 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่จากปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในขณะที่เงินดอลลาร์โดยรวมมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways ดังนั้นเราจึงยังมองไม่เห็นโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับเทรนด์มาแข็งค่าได้ในเร็วนี้ 


ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในไทยยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น และเรามองว่า จุดเลวร้ายสุดของการระบาดยังมาไม่ถึงทำให้ เราคงประเมินว่า นักลงทุนต่างชาติก็ยังสามารถทยอยขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย ซึ่งแรงเทขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติยังคงกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ 


ทั้งนี้ในระยะสั้นหากตลาดคลายกังวล ปัญหาการระบาด COVID-19 ทั่วโลก และกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นหนุนโดยรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าคาดก็อาจทำให้ เงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลง หลังผู้เล่นในตลาดไม่จำเป็นต้องถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) เพื่อหลบความผันผวนในตลาด ซึ่งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ก็อาจทำให้ เงินบาทไม่อ่อนค่าหนัก ทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์ ไปมาก มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.90-33.00   บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ


ผู้เล่นในตลาดการเงินเริ่มกังวลว่าปัญหาการระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ในสหรัฐฯ อาจกดดันให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง สอดคล้องกับ รายงานข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM manufacturing PMI) ในเดือนกรกฎาคม ที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 59.5 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และสะท้อนถึงภาวะขยายตัวของภาคการผลิตในสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง


ซึ่งภาพความกังวลดังกล่าว ได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดสหรัฐฯ ต่างทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงกดดันให้ ดัชนี Dow jones ปรับตัวลดลงราว -0.28% ส่วนดัชนี S&P500 ก็ปิดตลาด -0.19% ในขณะที่ หุ้นเทคฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เดินหน้าปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1.18% ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดบวก +0.06%


ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ยังคงสามารถก็ปรับตัวขึ้น +0.67% โดยได้รับแรงหนุนจากความหวังรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนเช่นกัน กอปรกับ ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความหวังต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจสอดคล้อง กับการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม Adidas +3.68%, Kering +2.42%, Louis Vuit ton +1.94%, L’ Oreal +1.76%


ทางด้านตลาดบอนด์ ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากปัญหาการระบาดของเดลต้า ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาทยอยซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้งส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 4bps สู่ระดับ 1.18%


อย่างไรก็ดี  บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 1.50% ได้ ณ สิ้นปี จากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด


โดยคาดว่าเฟดอาจส่งสัญญาณทยอยลดการทำคิวอีได้ ในช่วงการประชุม FOMC เดือนกันยายน หลังล่าสุด เจ้าหน้าที่เฟด อาทิ Christopher Waller  ระบุว่า พร้อมสนับสนุนการทยอยลดคิวอี หากยอดการจ้างงานยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอีก 2 เดือนข้างหน้า 


ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน แม้บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง ทว่าเงินดอลลาร์โดยรวมยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากตลาดยังคงมีความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อหลบความผันผวนในช่วงที่ปัญหาการระบาดของ CO VID-19 อาจทวีความรุนแรงมากขึ้นได้ หลังเริ่มพบการระบาดในสหรัฐฯและจีนมากขึ้น ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังทรงตัวใกล้ระดับ 92.05 จุด 



สำหรับวันนี้ตลาดจะติดตามแนวโน้มสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯ และ จีน หลังทั้งสองภูมิภาคมีรายงานยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในฝั่งภาคการบริการชะลอตัวลงในระยะสั้นได้ หากการระบาดทวีความรุนแรงมากขึ้น


ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดประเมินว่า ปัญหาการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ จะส่งผลให้เศรษฐกิจในโซนเอเชียมีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะสั้น กดดันให้บรรดาธนาคารกลางในเอเชียเลือกที่จะใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป 


โดยในสัปดาห์นี้ ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Cash Rate) ที่ระดับ 0.10% และเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการคุม yields curve  


ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดว่าคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.50% เหมือนเดิม และเน้นย้ำถึงการใช้นโยบายการเงินเฉพาะจุด อาทิ การเร่งเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจที่ต้องการ ผ่านโครงการพักทรัพย์พักหนี้ หรือ Soft loans เป็นต้น


  จับตาโควิด มะกัน-แดนมังกร   ชี้รุนแรงซัดเศรษฐกิจโลกทรุด




 

ข่าวแนะนำ