TNN online โควิดลามไม่หยุด-แผนกระจายวัคซีนดีเลย์ฉุดบาทอ่อน

TNN ONLINE

Wealth

โควิดลามไม่หยุด-แผนกระจายวัคซีนดีเลย์ฉุดบาทอ่อน

โควิดลามไม่หยุด-แผนกระจายวัคซีนดีเลย์ฉุดบาทอ่อน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 32.12 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มองแนวโน้มอ่อนค่า หลังโควิดทั่วโลก-ไทยแพร่ระบาดไม่หยุด ขณะที่แผนแจกจ่ายวัคซีนยังดีเลย์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ  32.12 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  32.11 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  โดยแนวโน้มเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าและ มีโอกาสผันผวนตามเงินดอลลาร์ จากปัญหาการระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกและในไทยที่ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางค่าเงินบาท 


โดยสถานการณ์การระบาดทั่วโลกที่เลวร้ายลง จะกดดันภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอื่นๆ ยกเว้นสหรัฐฯ ทำให้ตลาดถือครองเงินดอลลาร์มากขึ้นหนุนให้โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ในระยะสั้นอยู่


นอกจากนี้สถานการณ์การระบาดในไทยยังวิกฤติอยู่ จากยอดผู้ติดเชื้อรายวันที่อยู่ในระดับสูงและยังไม่มีทีท่าจะลดลง (ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่ายอดรายงาน จากข้อจำกัดด้านการตรวจหาผู้ติดเชื้อ) ส่วนการแจกจ่ายวัคซีนก็ดูจะล่าช้าและแผนการแจกจ่ายวัคซีนอาจไม่สามารถรับมือกับการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าได้ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถทยอยขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย และกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้


นอกเหนือจากปัจจัยการระบาดของ COVID-19 เรามองว่า โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำ หลังราคาทองคำเริ่มรีบาวด์กลับขึ้นมาใกล้ระดับ 1,800 บาทต่อดอลลาร์ อาจเป็นอีกปัจจัยในระยะสั้นที่ช่วยหนุนแรงซื้อเงินดอลลาร์ ทำให้เงินบาทยังสามารถทรงตัวเหนือระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในระยะนี้ได้


ทั้งนี้ควรระวังโอกาสที่ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าต่อถึงระดับ 32.25-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ   หลังเงินบาทอ่อนค่าทะลุแนวต้านสำคัญแถว 32 บาทบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ   ดังนั้นจากทิศทางค่าเงินบาทที่มีความผันผวนมากขึ้น จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของ COVID-19


อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะ การใช้ Options เพราะหากค่าเงินบาทเคลื่อน ไหวสวนทางกับสิ่งที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ผู้ประกอบการเองก็ยังสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิ์ของ Options หรือไม่ ทำให้ผู้ประกอบการมีความยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าการจอง Forward เพียงอย่างเดียวมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.05-32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ 


สำหรับตลาดการเงิน โดยเฉพาะในฝั่งตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวไม่มากนัก เนื่องจากวันก่อนหน้าเป็นวันหยุดของฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ปริมาณธุรกรรมในตลาดเบาบางลง 


อย่างไรก็ดี ในฝั่งยุโรปแม้ว่าจะเผชิญความกังวลปัญหาการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Delta  แต่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจโดยรวมของยุโรป ยังคงสดใส อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Services PMI) ที่ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 58.3 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ในเดือนมิถุนายน 


ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) ในเดือนกรกฎาคม ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 29.8 จุด กอปรกับ แนวโน้มการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในวันที่ 19 นี้ของรัฐบาลอังกฤษ ก็ช่วยหนุนให้ ดัชนี FTSE100 ของอังกฤษ ปรับตัวขึ้นกว่า +0.58% ขณะที่ STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเพียง +0.07% นำโดยหุ้นกลุ่มการเงิน BNP Paribas +2.21%, ING +1.42%, Intesa Sanpaolo +1.41%%, Santander +1.33% 


ทั้งนี้ตลาดที่มีความเคลื่อนไหวมากสุด คือ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์และ WTI ต่างพุ่งขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับ 77.1 ดอลลาร์ต่อบาร์ เรล และ 76.3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในปี 2018 หลังที่ประชุม OPEC+ เกิดความขัดแย้งหนักระหว่างซาอุดิอาระเบีย กับ สหรัฐฯอา หรับเอมิเรต ทำให้กลุ่ม OPEC+ ไม่สามารถหาข้อสรุปในการเพิ่มกำลังการผลิตได้ 


ส่วนความขัดแย้งภายในกลุ่ม OPEC+ ดังกล่าว อาจกระตุ้นให้เกิด สงครามราคาน้ำมันอีกครั้งกดดันให้ราคาน้ำมันดิบอาจผันผวนรุนแรงขึ้นได้


ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 92.24 จุด หลังเงินปอนด์ (GBP) แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับ 1.385 ดอลลาร์ต่อปอนด์ จากความหวังการทยอยเปิดเมืองและผ่อนคลายมาตร การ Lockdown ของรัฐบาลในวันที่ 19 นี้ ขณะเดียวกัน ค่าเงินกลุ่ม Commodities-linked อย่าง ออสเตรเลียดอลลาร์ (AUD) ก็แข็งค่าขึ้น สู่ระดับ 0.754 ดอลลาร์ต่อ AUD ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น    


สำหรับวันนี้ตลาดประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น ต่อเนื่อง สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ โดย ISM (Services PMI) ที่ระดับ 63.5 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึงการขยายตัว) 


ส่วนในฝั่งเอเชีย เรามองว่าบรรดาธนาคารกลางในฝั่งเอเชียจะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป เพื่อประคับประคองการฟื้นตัวเศรษฐกิจจากปัญหาการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ โดยเราคาดว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Cash Rate) ไว้ที่ระดับ 0.10% พร้อมทั้งควบคุมยีลด์เคิร์ฟ (Yields Curve Control) โดยคงเป้าหมายบอนด์ยีลด์ 3 ปี ไว้ที่ระดับ  0.10% 

 


ข่าวแนะนำ