พิษโควิดกดบาทอ่อนใกล้ทะลุ 32 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 31.93 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าทำสถิติใหม่ในรอบ 13 เดือนกว่า นับจาก 19 พ.ค.63 หลังโควิดพุ่งไม่หยุด แนะผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.93 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าทำสถิติใหม่ในรอบ 13 เดือนกว่า นับจาก 19 พ.ค.63 เป็นผลมาจากความกังวลสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 หลังยอดผู้ติดเชื้อรายวันปรับตัวสูงขึ้นและยังไม่มีทีท่าจะลดลง ขณะเดียวกัน การแจกจ่ายวัคซีนก็ดูจะล่าช้าและแผนการแจกจ่ายวัคซีนอาจไม่สามารถรับมือกับการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าได้ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติยังสามารถทยอยขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย และกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้
นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมในช่วงปลายเดือนจากฝั่งผู้นำเข้า ที่อาจเริ่มกังวลต่อแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่า ก็อาจทำให้ ผู้นำเข้าทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์ หนุนให้เงินบาทโดยรวมยังทรงตัวในระดับสูงอยู่
ทั้งนี้ควรจับตาแนวต้านสำคัญของเงินบาทที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เพราะหากค่าเงินบาทอ่อนค่าทะลุแนวต้านสำคัญดังกล่าว ในเชิงเทคนิคัล ค่าเงินบาทก็อาจอ่อนค่าต่อถึงระดับ 32.25-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจใช้จังหวะเงินบาทอ่อนค่าลง ในการทยอยลดการถือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (FX Reserves) ลงบ้าง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สหรัฐฯมองว่า ไทยมีการแทรกแซงค่าเงินในทิศทางเดียว หรือ เพื่อให้ FX reserves มีการลดลงบ้าง ซึ่งอาจช่วยคุมไม่ให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าเร็วเกินไปจนผู้นำเข้าปรับกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงไม่ทัน
สำหรับทิศทางค่าเงินบาทที่มีความผันผวนมากขึ้น จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะ การใช้ Options เพราะหากค่าเงินบาทเคลื่อนไหวสวนทางกับสิ่งที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ผู้ประกอบการเองก็ยังสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิ์ของ Options หรือไม่ ทำให้ผู้ประกอบการมีความยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าการจอง Forward เพียงอย่างเดียวมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.85-32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดการเงินโดยรวมกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น และเริ่มเห็นการทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงในธีม Cyclical Trades มากขึ้น หลังผู้เล่นในตลาดการเงินมีความกังวลต่อปัญหาการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Delta ที่ได้กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศจากการเลื่อนแผนผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และยังทำให้รัฐบาลในหลายประเทศประกาศใช้มาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเดินทางจากประเทศอังกฤษ
แรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Cyclical ได้กดดันให้ ดัชนี Dowjones ปรับตัวลดลงกว่า -0.44% ขณะที่บอนด์ยีลด์ 10ปี ที่ย่อตัวลงราว 4bps สู่ระดับ 1.48% (โดยรวมยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways) ได้หนุนให้หุ้นในกลุ่มเทคฯ ปรับตัวขึ้นโดดเด่น ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ก็สามารถปรับตัวขึ้นราว +0.98% ขณะที่ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.23% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้น Facebook หลังสามารถชนะคดี Antitrust
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นในฝั่งยุโรป บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดจากความกังวลปัญหาการระบาดของ COVID-19 ที่อาจกดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ได้กดดันให้ ดัชนี STOXX50 ของยุโรป พลิกกลับมาปรับตัวลงกว่า -0.75% นำโดยการปรับตัวลงหนักของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยงและการเดินทาง อาทิ Amadeus -4.45%, Airbus -2.92% นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มการเงินก็เผชิญแรงขายหนักเช่นกัน ตามการขายหุ้นในกลุ่ม Cyclical (Safran -4.45%, Santander -2.77%, ING -2.47%) ขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคฯ อาทิ Adyen +1.6%, Infineon Tech. +0.89%, ASML +0.84% ปรับตัวขึ้นตามหุ้นเทคฯในฝั่งสหรัฐฯ
ในฝั่งตลาดค่าเงินเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศอื่นๆ อาจชะลอลงจากปัญหาการระบาดของ COVID-19 สวนทางกับภาพการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 91.87 จุด กดดันให้ เงินปอนด์ (GBP) อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.387 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ขณะที่ เงินยูโร (EUR) ยังสามารถทรงตัวที่ระดับ 1.192 ดอลลาร์ต่อยูโรได้
สำหรับวันนี้ตลาดจะจับตาการรายงานข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) จากทั้งฝั่งสหรัฐฯ และ ยุโรป โดยในฝั่งสหรัฐฯ ภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นยังได้หนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board (Consumer Confidence) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 119 จุด ชี้ว่าการบริโภคครัวเรือนมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ตลาดจะติดตาม มุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อาทิ Randal Quarles ซึ่งเป็นหนึ่งใน Voting member ของ FOMC
ส่วนในฝั่งยุโรป แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปยังสดใส หลังการแจกจ่ายวัคซีนคืบหน้ามากขึ้น (ครอบคลุมประชากรเกือบ 40% และ อาจใช้เวลา 3 เดือน เพื่อครอบคลุมประชากร 75%) หนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนมิถุนายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -1.0 จุด สะท้อนว่าการบริโภคของครัวเรือนมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง