TNN online เงินบาทอ่อนทุบสถิติใหม่ในรอบ 1 เดือนแตะ 31.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ

TNN ONLINE

Wealth

เงินบาทอ่อนทุบสถิติใหม่ในรอบ 1 เดือนแตะ 31.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทอ่อนทุบสถิติใหม่ในรอบ 1 เดือนแตะ 31.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 31.47 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าทำสถิติใหม่ในรอบ 1 เดือน หลังดอลลาร์แข็งรับข่าวเฟดเล็งขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าตลาดคาด ผนวกกระจายวัคซีนในไทยล่าช้าฉุดอารมณ์นักลงทุน


นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า  ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.47 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า  ที่ระดับ 31.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการทุบสถิติใหม่ในรอบ 1 เดือน  นับจาก 18 -19 พ.ค.ที่อยู่ในระดับ  31.42-31.43 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า  หลังจากธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดส่งสัญญาณเตรียมขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 66   ประกอบกับการแพร่ระบาดโควิดสายพันธุ์ Delta เริ่มระบาดหนักในอังกฤษ และอาจลามไปยุโรป


สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทมีโอกาสเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง โดยในส่วนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่านั้นอาจมาจากทั้ง เงินดอลลาร์ โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำของบรรดาผู้เล่นในตลาดทองคำที่รอ Buy on Dip และ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยมองว่าเงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อในระยะสั้น หลังผู้เล่นในตลาดทยอยลดสถานะ “Short” อนึ่ง ต้องระวังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดสายกลาง(Neutral) ที่อาจเริ่มมาสนับสนุนนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น (Hawkish)


ส่วนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ เรากังวลว่าหากการแจกจ่ายวัคซีนในไทยยังไม่สามารถเร่งตัวขึ้นมากกว่านี้ได้ อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจและทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยได้ กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง จนกว่าการแจกจ่ายวัคซีนจะเร่งตัวขึ้นได้ดีขึ้น (อย่างน้อยเฉลี่ยวันละ 5 แสนโดสขึ้นไป หากต้องการให้ถึงเป้าหมายสร้างภูมิคุ้มกัน 50% ของประชากรภายในปีนี้) 


อย่างไรก็ดี เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมาก เพราะฝั่งผู้ส่งออกก็ทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าใกล้ระดับ 31.50-31.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งคาดว่าหากเงินบาทอ่อนค่าลงไปมากในระยะสั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีโอกาสทยอยขายเงินดอลลาร์ เพื่อลดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (FX Reserves) ออกมาบ้าง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสถูกสหรัฐฯ มองว่าประเทศ ไทยมีการแทรกแซงค่าเงินบาทในทิศทางเดียว ทำให้เงินบาทยังคงแกว่งตัวในกรอบไม่เกิน 31.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ   มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.20-31.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.40-31.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ 


สัปดาห์ที่ผ่านมาแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับประมาณการเศรษฐกิจดีขึ้นและมองว่าจะขึ้นดอกเบี้ยราว 50bps (หรือ 2 ครั้ง) ได้ในปี 66


สำหรับสัปดาห์นี้ ควรติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงถ้อยแถลงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน พร้อมทั้งติดตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธ  โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้


ฝั่งสหรัฐฯ เศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงเดินหน้าฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หนุนโดยการแจกจ่ายวัคซีนที่ครอบคลุมประชากรราว 50% ทำให้ทั้งภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการยังคงขยายตัวต่อเนื่องในเดือนมิถุนายนจากความต้องการบริโภคหลังมาตรการ Lockdown ผ่อนคลายลง สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการโดย Markit (Manufacturing & Services PMIs) ที่ระดับ 61.5จุด และ 70 จุด ตามลำดับ (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึงการขยายตัว)


ขณะเดียวกันตลาดแรงงานก็ฟื้นตัวดีขึ้น โดยยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) จะลดลง สู่ระดับ 3.8 แสนราย หนุนโดยการทยอยยุติเงินช่วยเหลือผู้ตกงานเพิ่มเติมในหลายรัฐ 


ทั้งนี้ภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นและระดับฐานราคาสินค้าในปีก่อนหน้าที่ต่ำไปมากในช่วงวิกฤติ COVID-19 จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (PCE) เดือนพฤษภาคม พุ่งขึ้นสู่ระดับ 3.9% อย่างไรก็ดี การเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้ออาจเป็นปัจจัยเพียงชั่วคราว สะท้อนจากมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งยังไม่กังวลต่อทิศทางเงินเฟ้อมากนัก 


อย่างไรก็ตาม จะต้องตลาดจะติดตาม มุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดถึง 4  คน อาทิ Williams, Daly (วันอังคาร) และ Bowman, Bostic (วันพุธ)


ทางด้านยุโรป เศรษฐกิจยุโรปยังคงส่งสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น หลังการแจกจ่ายวัคซีนคืบหน้ามากขึ้น (ครอบคลุมประชากรราว 36%) โดยทั้งฝั่งภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการยังมีการขยายตัว ชี้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการที่ระดับ 62.1 จุด และ 57.9 จุด ตามลำดับ 


นอกจากนี้แนวโน้มเศรษฐกิจที่สดใสจะช่วยหนุนให้ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนมิถุนายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 100.6 จุด   โดยอังกฤษต้องติดตามการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ที่อาจกดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจได้ หากการระบาดทวีความรุนแรงมากขึ้นและควบคุมไม่ได้ ซึ่งปัญหาการระบาดดังกล่าวจะกดดันให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Bank Rate) ที่ระดับ 0.10% และเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อสินทรัพย์ (QE) เพื่อหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ แม้การแจกจ่ายวัคซีนจะครอบคลุมประชากรถึง 55%


ส่วนเอเชียความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึง Semiconductor Chip จะช่วยหนุนให้ยอดการส่งออกเกาหลีใต้ในช่วง 20 วันแรกของเดือนพฤษภาคม อาจโตกว่า 50%y/y อนึ่ง แม้ว่าเศรษฐกิจในหลายประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ธนาคารกลางของทุกประเทศในเอเชียจะเลือกเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป โดยเฉพาะการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดยในฝั่งจีน PBOC จะคงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (Loan Prime Rate) อายุ 1 ปี และ 5 ปี ที่ระดับ 3.85% และ 4.65% ตามลำดับ ส่วนในฝั่งของธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ก็จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Overnight Rate) ที่ 2.00% หลังเศรษฐกิจยังคงซบเซาจากปัญหาการระบาดของ COVID-19 และการแจกจ่ายวัคซีนที่ล่าช้า


ขณะที่ฝั่งไทยภาคการส่งออกยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังคงบอบช้ำจากปัญหาการระบาดของ COVID-19 โดยตลาดมองว่ายอดการส่งออก (Exports) เดือนพฤษภาคม อาจโตขึ้นกว่า 35%y/y หนุนโดยจากความต้องการสินค้าทั่วโลก ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะโตกว่า 53%y/  ตามการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อการส่งออกเป็นหลัก 


สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและยังคงเผชิญปัญหาการระบาดของ COVID-19 จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% และเน้นช่วยเหลือภาคธุรกิจรวมถึงครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบหนักผ่านมาตรเร่งรัดกระจายสินเชื่อหรือ Soft Loans มากกว่าที่จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง นอกจากนี้มองว่า ธปท. อาจปรับลดประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจแย่ลงจากประมาณการในเดือนมีนาคม หลังการระบาดของ COVID-19 ยังไม่มีแนวโน้มสงบลง และ การแจกจ่ายวัคซีนก็ล่าช้ามาก (ครอบคลุมประชากร 5.4%)


เงินบาทอ่อนทุบสถิติใหม่ในรอบ 1 เดือนแตะ 31.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ





ข่าวแนะนำ