หุ้นกลุ่มแบงก์– ไฟแนนซ์ควงกันร่วงต่อ หวั่นธปท.ทบทวนเพดานดอกกู้
หุ้นกลุ่มแบงก์– ไฟแนนซ์ควงกันร่วงต่อ หวั่นกำไรวูบ หลัง "บิ๊กตู่" สั่งธปท.ทบทวนปรับลดเพดานดอกเบี้ยเงินกู้ช่วยลูกหนี้ฝ่าโควิด
ราคาหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ เช่าซื้อ และ แบงก์วันนี้ ยังปรับตัวลงต่อเนื่อง หลังจากที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธป ท. ) ทบทวนเพดานอัตราดอกเบี้ยและการกำกับดูแลบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อจำนำทะเบียน โดยปัจจุบันเพดานอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตอยู่ที่ 16% สินเชื่อส่วนบุคคลที่ 25% และสินเชื่อจำนำทะเบียน 24%
โดยราคาหุ้นกลุ่ม Non - Bank ทั้ง KTC และ AEONTS ปิดตลาดช่วงเช้า ปรับตัวลดลงประมาณ 3% ขณะที่กลุ่มเช่าซื้อ MTC, SAWAD ,TIDLOR ลดลงประมาณ 1% ส่วนกลุ่มธนาคาร ปรับลดลงประมาณ 0.50-1% หลังจากที่วานนี้กลุ่มแบงก์ราคาร่วงลงแรง
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส มองว่า ธนาคารพาณิชย์ที่มีสัดส่วนสินเชื่อบัตรเครดิตและบุคคลมากสุด นำโดย KTB ราว 24% ของพอร์ตสินเชื่อ (บัตรเครดิตและสินเชื่อในกลุ่มข้าราชการ) ตามด้วย TISCO ในส่วนของสินเชื่อจำนำทะเบียนประมาณ 15% ของพอร์สินเชื่อ และ BAY ราว 10% ของพอร์ตสินเชื่อ ในกรณีที่เกิดขึ้นสร้างผลกระทบต่อสินเชื่อบัตรเครดิตเป็นหลัก เพราะธนา คารพาณิชย์ส่วนใหญ่เก็บในอัตราเดียวกับเพดาน แต่เนื่องจากการเก็บอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะคิดเฉพาะลูกค้าที่จ่ายขั้นต่ำ จึงมองผลกระทบส่วนนี้จำกัด ขณะที่กลุ่มจำนำทะเบียนฯ อย่าง TISCO ทางธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยราว 14% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ
ภาพรวมยังมองผลต่อประมาณการกลุ่มฯ จำกัด โดยประมาณการปี 2564 – 2565 ให้น้ำหนักไปที่ Credit Cost และคุณภาพสินทรัพย์เป็นหลัก อีกทั้งมองว่าโอกาสในการเกิดยังต้องติดตาม เหตุเพราะทาง ธปท. มีการกำหนดอัตราเพดานขั้นต่ำในกลุ่มสินเชื่อข้างต้น ช่วงก.ค. 2563 การปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน อาจส่งผลให้ผลตอบแทนของธนาคารเมื่อเทียบกับความเสี่ยงไม่คุ้ม และนำไปสู่การที่ธนาคารพาณิชย์คุมเข้มการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งไม่น่าดีต่อประชาชน
คงน้ำหนัก เท่าตลาด เลือก BBL(FV@B154) KBANK(FV@B155) และ TISCO(FV@B102) มองราคาหุ้นในกลุ่มฯ มีโอกาสได้รับ Sentiment ลบช่วงสั้น แต่มองเป็นโอกาสสะสม ให้น้ำหนักไปกับการกระจายวัคซีนโควิด-19 นำไปสู่การเดินเครื่องทางเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง หนุนรายได้ลูกหนี้และลดความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์มากกว่า
ส่วนกลุ่มเช่าซื้อแม้ว่าปัจจุบันผู้ให้บริการสินเชื่อบุคคลส่วนใหญ่จะคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเพดานอยู่แล้ว แต่ฝ่ายวิจัยประเมินว่าหากธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลในอนาคต จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการกลุ่มเช่าซื้อบ้าง เนื่องจากประเมินว่าผู้ให้บริการสินเชื่อมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่คิดกับลูกค้าลงบ้างด้วยเช่นกัน โดยฝ่ายวิจัยได้ทำ Sensitivity Analysis ว่า ทุกๆ การปรับลด Yields ลง 1% จะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของ TIDLOR ลง 18.3% MTC ลง 12.8% AEONTS ลง 9.2% และ SAWAD ลง 7.0%
ทั้งนี้ หากไปดูกำไรสุทธิปี 2563 ของผู้ให้บริการสินเชื่อ (MTC ,SAWAD และ TIDLOR) พบว่ามีการเติบโตต่อเนื่อง จากสินเชื่อสุทธิที่เติบโตต่อเนื่อง หักล้างผลกระทบจากการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลตั้งแต่ส.ค. 63 ไปได้ มีเพียง AEONTS ที่กำไรสุทธิปี 2563 อ่อนตัวลง 7.2% yoy จากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19
บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด วิเคราะห์ว่า หุ้นกลุ่มการเงินถูกกระทบทางจิตวิทยาจากความเห็นเรื่องการปรับลดเพดานดอกเบี้ย ราคาหุ้นธนาคารและการเงินปรับลดลงแรง แต่คาดว่าการปรับลดเพดานดอกเบี้ยเพิ่มเติมอาจไม่ง่ายนัก หลังธปท.เพิ่งปรับลดเพดานสินเชื่อบางประเภทไป 2-4% ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าภาระดังกล่าวจะตกกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในการนําร่องลดดอกเบี้ยตามนโยบายของรัฐบาล
ทั้งนี้หากมองในเชิงความอ่อนไหวของผลกระทบ กลุ่มบัตรเครดิตและจำนำทะเบียนรถ จะมีผลกระทบต่อกำไรมากกว่าธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ตามด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยของกลุ่มจำนำทะเบียนรถต่ำกว่าเพดานในปัจจุบัน จึงคาดผลกระทบจำกัด ขณะที่กลุ่มบัตรเครดิตอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ใกล้เคียงระดับเพดาน ทำให้จะมีความเสี่ยงสูงกว่า
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ผลกระทบระยะสั้นเป็นไปในทางลบช่วงที่ยังมีความไม่ชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติการลดอัตราดอกเบี้ยทันทีทำได้ยาก เพราะจะไปมีผลกระทบต่อนโยบายการเงินที่มีอยู่แล้ว และการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ เรื่องนี้จึงต้องติดตามท่าทีของ ธปท.ต่อไป
