TNN online หุ้นไทยปิดดิ่ง 10.15 จุด ต่างชาติ-สถาบันเทขายปรับพอร์ตทำกำไร

TNN ONLINE

Wealth

หุ้นไทยปิดดิ่ง 10.15 จุด ต่างชาติ-สถาบันเทขายปรับพอร์ตทำกำไร

 หุ้นไทยปิดดิ่ง 10.15 จุด  ต่างชาติ-สถาบันเทขายปรับพอร์ตทำกำไร

ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง 10.75 จุด นักลงทุนปรับพอร์ตเทขายหุ้นทำกำไร ผนวกข่าว"บิ๊กตู่"สั่งธปท.ทบทวนเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิต-พิโกไฟแนนซ์ช่วยลูกหนี้กดหุ้นกลุ่มแบงก์-ไฟแนนซ์ เน้นลงทุนหุ้นเปิดเมืองและมีปัจจัยบวกเฉพาะ

นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยถึงภาวะตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,622.31 จุด ลบ 10.75 จุดหรือ 0.66   % ระหว่างวันซื้อขายสูงสุด 1,636.10 จุด และต่ำสุดที่ 1,618.60 จุด มูลค่าการซื้อขาย  89,953.97 ล้านบาทว่า ตลาดหุ้นไทยปรับฐานจากแรงเทขายหุ้นในกลุ่มพลังงาน เช่น PTT,PTTEP  หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น  KBANK,KKP, TISCO  และหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ เช่น MTC,SAWAD, TIDLOR  หลังจากนายกรัฐมนตรีได้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ทบทวนเพดานอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อจำนำทะเบียน  พิโกไฟแนนซ์ นาโนไฟแนนซ์ ซึ่งกระทบต่อรายได้ของธุรกิจแบงก์และไฟแนนซ์ในการประชุมครม.วันนี้


นอกจากนี้มีแรงขายหุ้นในกลุ่มคอมเมิร์ซ อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสารด้วยเช่นกัน ส่วนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นวันนี้เป็นกลุ่มอาหาร ท่องเที่ยว มีเดีย และขนส่ง อย่างไรก็ตาม การปรับลดพอร์ตหุ้นไทยวันนี้ส่วนหนึ่งมาจากแรงขายทำกำไรหลังจากที่หุ้นไทยตั้งแต่สิ้นปี 63-ปัจจุบัน (YTD) ปรับขึ้นมา 12 % หากเทียบกับประเทศอื่น ซึ่งตลาดหุ้นไทยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกที่ปรับขึ้น และในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันหุ้นไทยขึ้นมาแล้ว 2.5% 


สำหรับปัจจัยที่ติดตามยังเป็นเรื่องการประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดในวันที่ 15-16 มิ.ย.นี้  การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ว่าจะผ่อนคลายมาตรการเปิดร้านอาหารเต็มรูปแบบหรือไม่ ซึ่งหากเป็นไปตามคาดส่งผลดีต่อหุ้นเปิดเมืองรวมถึงติดตามเรื่องการกระจายวัคซีน


ขณะที่มูลค่าการซื้อขายวันนี้พบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 295.26 ล้านบาท  บัญชีบล.ขายสุทธิ 104.34 ล้านบาท  ต่างประเทศขายสุทธิ  1,963.57 ล้านบาทในประเทศซื้อสุทธิ    2,363.17 ล้านบาท ส่วนตลาดหุ้นในต่างประเทศมีทั้งบวกและลบสลับกัน เช่น ตลาดหุ้นมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง และจีนปรับตัวลง  ส่วนตลาดอินโดนีเซียและเกาหลีใต้ปิดบวก 


ด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้นธีมเปิดเมืองและมีปัจจัยบวกเฉพาะ โดยเลือก 3 หุ้นเด่น คือ  TFG  ราคาหมูหน้าตลาดฯพุ่งสูงขึ้นจาก Supply ที่ขาดแคลน  ขณะที่ราคาถั่วเหลืองปรับตัวลดลงทำให้รายได้เพิ่มต้นทุนลดลง  คาดกำไรปกติงวด 2Q64 จะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY  ขณะที่ Demand ยังล้นจากคนซื้อเนื้อหมูกลับไปทำอาหารเอง ถือเป็นปัจจัยบวกต่อ TFG กำหนด FV ปี 2564 เท่ากับ 6.20 บาท อิงวิธี DCF (WACC 7.13%) ราคาหุ้นปัจจุบันมี Valuation น่าสนใจ


หุ้นเด่นถัดมาคือ  ADVANC ได้เป็น Exclusive Partner กับDisney+ ให้บริการ Disney+Hotstar ในไทย คาดสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นและพื้นฐานในระยะกลาง-ยาว อีกทั้งคาดหวังฟื้นตัวได้ใน 2H64 จากผลบวก COVID คลี่คลาย, 5G และช่องทางการเข้าถึงลูกค้าดีขึ้น ซึ่ง Fair Value ปัจุยันยังไม่รวม Upside ระยะยาวจากการเข้ามาช่วยต่อยอด GULF ผู้นำธุรกิจพลังงาน ภายหลังทำคำเสนอซื้อ INTUCH บริษัทแม่ของ ADVANC แล้วเสร็จ


ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 64 เท่ากับ 220 บาท มี Upside ประมาณ 27% ถือเป็นโอกาสสะสมฟื้นตัวเด่นช่วง 2H64 แนวโน้มระยะสั้นเชื่อว่าเห็นผลกระทบ COVID รอบใหม่ปั่นทอนการฟื้นตัวต่อธุรกิจ แต่คาดจะเริ่มดีขึ้นในช่วงมิ.ย.64 กอปรกับ ผลบวกการปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายภายในคาดเห็นต่อเนื่อง และจะช่วยให้เห็นกำไร 2Q64 ลดลง yoy ในอัตราชะลอลงได้ขณะที่งวด 2H64 เชื่อว่ายังคาดหวังฟื้นตัวได้จากทั้งการท่องเที่ยวในประเทศ   กิจกรรมเศรษฐกิจที่น่าจะทยอยดีขึ้นจากแผนเร่งกระจายวัคซีนของไทยทั่วถึง คาดกำไรปกติ ปี 2564 เติบโต 29.1%ภายใต้ประมาณการ ได้ FV ปี 2564 ที่ 39.50 บาท มีUpside เกิน 10%


ปิดท้ายที่  BJC  รับผลบวกจากบอลยูโร และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น พรก.เงินกู้ 5 แสนล้าน และคนละครึ่งเฟส 3 ทำให้กำลังซื้อการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ขณะที่กิจกรรมเศรษฐกิจที่น่าจะทยอยดีขึ้นจากแผนเร่งกระจายวัคซีนของไทยทั่วถึง คาดกำไรปกติ ปี 2564 เติบโต 29.1%ภายใต้ประมาณการ ได้ FV ปี 2564 ที่ 39.50 บาท มีUpside เกิน 10% ส่วนกรอบแนวรับพรุ่งนี้คาดว่าอยุ่ที่ 1,607 จุด แนวต้านที่ 1,636 จุด 




ข่าวแนะนำ