TNN online ดอลลาร์แข็งกดเงินบาทอ่อนค่า เกาะติดกระจายวัคซีนในประเทศ

TNN ONLINE

Wealth

ดอลลาร์แข็งกดเงินบาทอ่อนค่า เกาะติดกระจายวัคซีนในประเทศ

ดอลลาร์แข็งกดเงินบาทอ่อนค่า เกาะติดกระจายวัคซีนในประเทศ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.17 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเล็กน้อยเกาะติดเงินเฟ้อสหรัฐฯ-กระจายวัคซีนในประเทศ ด้านบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวลงมาที่ระดับ 1.49%

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า  ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ  31.17 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 31.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเงินดอลลาร์แข็งค่า  แต่เงินบาทก็อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นได้จากแรงซื้อหุ้นและบอนด์สุทธิจากนักลงทุนต่างชาติ ทำให้มองว่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มทรงตัวในกรอบ 31.10 - 31.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  เพราะหากเงินบาทอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ก็อาจเผชิญแรงซื้อจากฝั่งผู้ส่งออกที่รอทยอยขายเงินดอลลาร์ทำให้เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าไปมากกว่า ระดับ 31.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ 


นอกจากนี้ในระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติก็เริ่มเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยสุทธิ ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ตามความหวังการการแจกจ่ายวัคซีนในไทย อย่างไรก็ดี  ควรติดตามแนวโน้มการแจกจ่ายวัคซีน และ สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติในฝั่งหุ้นไทยได้ และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกำหนดทิศทางของเงินบาทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ได้ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.15-31.25  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ 


ตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างรอคอยรายงานข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในวันนี้รวมถึงผลการประชุม FOMC ในสัปดาห์หน้า สะท้อนผ่านการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ติดแนวต้านและเผชิญแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง 


อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มเทคฯ ที่ปรับตัวขึ้นมาเล็กน้อย โดยเฉพาะหุ้นเทคฯขนาดใหญ่ อย่าง Apple +0.31%, Amazon +0.52% และ Microsoft +0.40% หลังจากที่ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงกว่า 4bps สู่ระดับ 1.49% ทำให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงเพียง -0.09% ขณะที่ ดัชนี S&P500 และ ดัชนี Dowjones ปิดลบกว่า -0.18% และ -0.44% ตามลำดับ จากแรงเทขายหุ้นในกลุ่มการเงินเป็นหลัก (JPM -1.25%) หลังตลาดมองว่า บอนด์ยีลด์ที่ปรับตัวลดลง  อาจกดดัน Net Interest Margin (NIM) ของบริษัทการเงินได้ 


ส่วนในฝั่งยุโรป แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะเผชิญแรงเทขายหุ้นกลุ่มการเงินเช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐฯ (ING -1.5%, BNP -0.8%)  แต่โดยรวม หุ้นในกลุ่มเทคฯ ก็สามารถพยุงตลาดไว้ได้  (Amadeus +3.6%, Adyen +1.4%, ASML +1.0%) ทำให้ ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นราว 0.02% 


ทางด้านตลาดบอนด์เห็นได้ชัดว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่อาจไม่ได้กังวลต่อปัญหาการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อมากนัก และมองว่า เฟดก็น่าจะคงมุมมองเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นชั่วคราวต่อไปในการประชุมที่จะถึงนี้ กอปรกับ ผลการประชุมบอนด์ระยะยาวที่ออกมาดีเกินคาด ทำให้ ผู้เล่นในตลาดกล้าที่จะเพิ่มสถานะถือครอง บอนด์ระยะยาว ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลงกว่า 4bps สู่ระดับ 1.49% นอกจากนี้ แรงซื้อบอนด์ ยังมาจากการปิดสถานะ Short บอนด์ระยะยาว (Short covering) หลังจากในตอนแรกตลาดกลัวว่าเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น อาจทำให้เฟดปรับลดคิวอีได้ไวและกดดันให้บอนด์ยีลด์อาจพุ่งขึ้น 


ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน ผู้เล่นในตลาดการเงินเริ่มมีการเตรียมรับมือกับความผันผวนในตลาดการเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจากรายงานข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯในวันพฤหัสฯ ส่งผลให้เงินดอลลาร์ซึ่งมักถูกใช้เป็นหลุมหลับภัยชั่วคราว (Safe Haven asset) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 90.146 จุด โดยล่าสุด เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.218 ดอลลาร์ต่อยูโร  ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ก็ได้กดดันให้ราคาทองคำยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ แม้ว่าบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ จะย่อตัวลงมากว่า 4bps ก็ตาม ทำให้ ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,890 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 


สำหรับวันนี้ เรามองว่า ตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและผู้เล่นบางส่วนก็อาจเดินหน้าขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยง พร้อมกับเพิ่มสถานะการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง เงินดอลลาร์ เพื่อเตรียมรับมือกับรายงานข้อมูลเงินเฟ้อในวันพฤหัสฯ ที่อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินในระยะสั้นได้


โดยเรามองว่า การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ กว่า 4bps  สู่ระดับ 1.49% ก่อนรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) อาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาดการเงินได้ หากเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ระดับ 4.7% อาทิ เช่น เงินเฟ้อทั่วไป เร่งตัวขึ้นมากกว่า 5% ก็อาจสร้างความกังวลเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น รวมถึงความกังวลว่าเฟดอาจลดการอัดฉีดสภาพคล่องไวขึ้นทำให้ผู้เล่นในตลาดบอนด์อาจกลับมาขายทำกำไรและลดสถานะถือครองบอนด์สหรัฐฯ 10ปี ลง ซึ่งจะส่งผลให้ ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้


ขณะที่เงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือ สูงกว่าคาดเล็กน้อย ก็อาจทำให้ ตลาดไม่ได้กังวลปัญหาเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าว จะทำให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ สามารถแกว่งตัวในกรอบระดับ 1.50% ได้ต่อ และตลาดก็อาจเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคฯ เติบโตสูง ที่น่าจะเริ่มกลับมาปรับตัวขึ้นได้ดีขึ้น


และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ ตลาดจะติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเรามองว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป ทั้งคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาทิ Deposit Facility Rate ที่ระดับ 0.50% พร้อมกับเดินหน้าซื้อสินทรัพย์อย่างน้อย 8.5 หมื่นล้านยูโร ต่อเดือน  เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ

 


ข่าวแนะนำ