เงินบาทวันนี้เปิดแข็งค่า 31.27 บาทต่อดอลลาร์ ตลาดเงินเปิดรับความเสี่ยง
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 31.27 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ตลาดการเงินเปิดรับความเสี่ยง หวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกทยอยคลายล็อกดาวน์ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ จับตาโควิดระบาดในเอเชีย
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 31.37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (ระดับปิดวันที่ 25 พฤษภาคม)
ตลาดการเงินโดยรวมเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตามการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งภาพดังกล่าวหนุนให้หุ้นในกลุ่มค้าปลีก (Retail) และ กลุ่มพลังงาน ปรับตัวขึ้นนำตลาด อาทิ หุ้น Bed Bath & Beyond ที่พุ่งขึ้น 11.6% ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ Russell 2000 ปรับตัวขึ้นกว่า 1.89% ตามด้วย ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ที่ปิดบวกกว่า 0.59% ขณะที่ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว 0.2%
ขณะที่ในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ย่อตัวลงเล็กน้อยราว 0.11% จากแรงขายทำกำไรตลาดหุ้นยุโรป หลังจากที่หุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นโลกเกือบ 10% นับตั้งแต่ต้นปี โดยหุ้นในกลุ่มธนาคารและการเงินปรับตัวลดลง (BNP Paribas -1.35%, Intesa Sanpaolo -0.64%, ) เช่นเดียวกับ หุ้นในกลุ่มเทคฯ (ASML -0.99%, Infineon Tech. -0.98%) ที่ย่อตัวลงเช่นกัน โดยภาพดังกล่าวสอดคล้องกับผลสำรวจของนักลงทุนสถาบันที่มองว่า Upside ของหุ้นยุโรป ณ สิ้นปีนี้ อาจเหลือเพียง 2% เนื่องจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระยะถัดไปอาจไม่ได้โดดเด่นไปจากที่ตลาดมองไว้มากนัก
ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดยังคงยืนกรานว่า แนวโน้มการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อเป็นปัจจัยเพียงชั่วคราวและเฟดจะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อ แต่ภาพรวมตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ก็ได้ทำให้ ผู้เล่นบางส่วนขายทำกำไรบอนด์ 10 ปี กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 2bps สู่ระดับ 1.58% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่า ยีลด์ 10 ปี จะแกว่งตัวในกรอบ เพราะผู้เล่นในตลาดจะใช้กลยุทธ์ Buy on Dip และ Sell on Rally สำหรับบอนด์ระยะยาวในช่วงที่ยีลด์มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบแบบ Sideways Up
นอกจากนี้การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี และการปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ในช่วงใกล้สิ้นเดือน ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้น 0.3% สู่ระดับ 90.04 จุด กดดันให้สกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.219 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนเงินเยน (JPY) ก็อ่อนค่าลงแตะระดับ 109.2 เยนต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์และเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 1,897 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ผู้ในเล่นตลาดส่วนใหญ่จะยังคงติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดย การจ้างงานที่ฟื้นตัวดีขึ้น จะส่งผลให้ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 4.3 แสนราย นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อ (PCE) มีแนวโน้มที่จะเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 3.5% ในเดือนเมษายน จากระดับ 2.3% ในเดือนก่อนหน้า ตามภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง และฐานราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะสินค้าพลังงานที่อยู่ในระดับต่ำมากในปีก่อนหน้า
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงเล็กน้อย ตามทิศทางของเงินดอลลาร์และแรงซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนจากฝั่งผู้นำเข้า นอกจากนี้ ต้องติดตามปัญ หาการระบาดของ COVID-19 ในเอเชียที่จะยังคงกดดันสกุลเงินเอเชียให้ยังคงผันผวน โดยในฝั่งไทย ต้องติดตามแรงขายหุ้นและบอนด์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติที่อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้
อย่างไรก็ดี แม้เงินบาทจะอ่อนค่าลง แต่ก็จะไม่อ่อนค่าไปมาก เพราะมีแรงหนุนให้แข็งค่าขึ้น จากโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ (ขายกำไรบนสกุลเงินดอลลาร์ และแลกกลับมาเป็นเงินบาท) รวมถึง ฝั่งผู้ส่งออกต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าใกล้ระดับ 31.40-31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.25-31.35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ