รัฐปรับมาตรการคุมโควิดเข้มข้น หนุนหุ้นไทยปิดบวก 13.67 จุด
หุ้นไทยปิดบวก 13.67 จุด ที่ระดับ 1,590.46 จุด หลังภาครัฐปรับมาตรการเข้มข้นขึ้นยกการ์ดสูงขึ้น ขณะที่หลายบริษัทงบฯออกมาดีกว่าคาดช่วยพยุงตลาด
วันนี้ (29 เม.ย.64) ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,590.46 จุด ปรับขึ้น 13.67 จุด หรือคิดเป็น +0.87% ด้วยมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 89,565 ล้านบาท
โดยดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,592.90 จุด และระดับต่ำสุด 1,583.98 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 887 หลักทรัพย์ ลดลง 699 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 503 หลักทรัพย์
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างดี หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันนี้ลงมาต่ำกว่า 2 พันรายต่อวัน และภาครัฐปรับความเข้มข้นของมาตรการเป็นการยกการ์ดสูงขึ้นเพื่อสกัดการการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ ในลักษณะการขอความร่วมมือที่อะลุ่มอล่วย หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ก็จะเป็นสัญญาณที่ดี
นอกจากนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัทออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้ตลาดฯปรับตัวขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง แต่เมื่อดัชนีฯขึ้นมาก็อาจทำให้ Valuation เริ่มตึงตัว หากงบฯออกมาดีและนักวิเคราะห์ฯมีการทยอยปรับประมาณการขึ้นก็น่าจะทำให้มี Room ได้บ้าง
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก เช่นเดียวกับตลาดยุโรปแกว่งบวกเป็นส่วนใหญ่ และดาวโจนส์ฟิวเจอร์สบวกขึ้นมากว่า 100 จุด ช่วงรอติดตามผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) งวดไตรมาส 1/64 ของสหรัฐฯคืนนี้ โดยตลาดฯคาดว่าจะขยายตัว 6.7% QoQ และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ส่วนพรุ่งนี้ติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต และภาคบริการของจีน รวมทั้งผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/64 ของยุโรป ส่วนบ้านเรา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะแถลงภาวะเศรษฐกิจรายเดือน
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (30 เม.ย.) นายวิจิตร กล่าวว่า ตลาดฯคงแกว่งตัวในกรอบ 1,580-1,600 จุด ซึ่งเมื่อดัชนีฯเข้าใกล้ระดับ 1600 จุด Valuation จะตึงตัวขึ้น
ขณะที่ บล. บัวหลวง เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 แม้สถานการณ์โควิด -19 จะกลับมาระบาดระลอกใหม่ และเชื้อไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ แต่เชื่อว่าดัชนียังมีโอกาสลุ้นแตะระดับ 1,600 จุดได้ จากกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้อาจเติบโตประมาณ 77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ และนักลงทุนอาจคลายความกังวลและเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น
สำหรับ หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อ-ขายสูงสุดสุด 5 อันดับ ได้แก่
1. IRPC : 4,370.18 ล้านบาท ราคา +0.16 บาท (+4.06%)
2. SCC : 3,166.46 ล้านบาท ราคา +14.00 บาท (+3.10%)
3. PTT : 3,136.30 ล้านบาท ราคา +1.25 บาท (+3.18%)
4. PTTEP : 2,930.56 ล้านบาท ราคา +2.00 บาท (+1.72%)
5. PTTGC : 2,859.77 ล้านบาท ราคา +2.25 บาท (+3.45%)