มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้ทองคำขึ้นหรือลง!

Gold Bullish - การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ -ประเทศในยุโรปยังประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์

 

Gold Bearish - แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว - อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเพิ่มขึ้น - การกระจายวัคซีนโควิด-19

 

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอีก 2 ล้านล้านดอลลาร์ 

สัปดาห์ที่ผ่านมาประธานาธิบดีโจ ไบเดนประกาศแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ระยะเวลา 8 ปี ซึ่งผลกระทบชัดเจนที่เกิดขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ คือความคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ส่งผลให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น

ส่วนรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ประกอบด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า มูลค่า 6.21 แสนล้านดอลลาร์ ปรับปรุงสาธารณูปโภคเกี่ยวกับน้ำดื่ม การลงทุนในบรอดแบรนด์ มูลค่ากว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ การลงทุนด้านการผลิต งานวิจัยและพัฒนา และการฝึกฝนอาชีพให้กับชาวอเมริกัน มูลค่า 5.80 แสนล้านดอลลาร์

โครงการสร้างและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ การแจกเงินโดยตรงให้กับชาวอเมริกันผู้สูงอายุและทุพพลภาพ มูลค่า 4 แสน ล้านดอลลาร์ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นไปตามนโยบายหาเสียงของประธานาธิบดีโจ ไบเดน 

 

เงินเฟ้อเพิ่ม หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น

ในอดีตที่ผ่านมาในช่วงที่สหรัฐเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น เป็นช่วงเวลาที่สหรัฐมีหนี้สาธารณะสูงหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเคยเกิดขึ้นในช่วงสงครามกลาง เมือง ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งสูงขึ้น 

ช่วงที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคาดจะเป็นช่วงเวลาที่หนี้สาธารณะสุทธิต่อจีดีพีของสหรัฐจะเกินกว่า 100% เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติ ศาสตร์ จากนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทั้งมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ รวมทั้งนโยบายอื่นๆ อีกในอนาคต

ถึงแม้ว่าเงินลงทุนที่จะนำมาใช้ในโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวนั้นจะเป็นรายรับจากการขึ้นภาษีก็ตาม ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดนเสนอให้ขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% และจะขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีรายได้เกิน 400,000 ดอลลาร์ต่อปี 

ซึ่งผมประเมินว่าสิ่งที่ตลาดกังวลในช่วงนี้คือการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น  Bond Yield สหรัฐก็จะเพิ่มขึ้น ราคาทองคำก็อาจปรับลดลง แต่เมื่อมองในระยะยาวแล้วความเสี่ยงของฐานะการคลังของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น ในทางสถิติหนี้สาธารณะของสหรัฐกับราคาทองคำมีความสัมพันธ์ในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่หนี้สาธารณะของสหรัฐเร่งตัวสูงขึ้น ราคาทองคำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย 

สัปดาห์นี้ราคาทองคำในวันจันทร์คาดจะปรับลดลง หลังจากสหรัฐประกาศการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.แข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้นถึง 916,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2563 รวมทั้งการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ.ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 468,000 ตำแหน่ง จากที่รายงานก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้น 379,000 ตำแหน่ง หลังจากนั้นราคาทองคำคาดเริ่มเคลื่อนไหวในกรอบแคบ

ทั้งนี้เนื่องจากมองว่าประเด็นที่กระทบต่อตลาดทองคำไม่ได้เข้มข้นมากนักในสัปดาห์นี้ ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การเปิดเผยรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งเป็นการประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 16-17 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ย 0-0.25%  และมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงปี  66 แต่การเปิดเผยรายงานการประชุมจะทำให้ทราบรายละเอียดมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดมากขึ้น 

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะประกาศสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนมี.ค. ดุลการค้าเดือนก.พ. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.พ.  ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่ยังต้องติดตาม ได้แก่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ทิศทางเงินดอลลาร์

สัปดาห์นี้ทองคำ Spot มีแนวรับ 1,700 ดอลลาร์ และ 1,680 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 1,740 ดอลลาร์ และ 1,750-1,755 ดอลลาร์ ราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 25,200 บาทและ24,950 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 25,750 บาท และ 25,850-25,900 บาท