ช้อน 7 หุ้นเด่นเข้าพอร์ตช่วง SET พักฐาน
โบรกคาดหุ้นไทยพักฐาน หลังตลาดหุ้นสหรัฐร่วง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบรูดเป็นลบต่อหุ้นพลังงาน แนะช้อน 7 หุ้นเด่นเข้าพอร์ต รับอานิสงส์บาทอ่อน -ปัจจัยบวกเฉพาะตัว
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า วันนี้คาด SET พักตัว แนวรับ1,550 จุด และแนวต้าน 1,580จุด เน้นหุ้นอิงค่าเงินบาทอ่อนค่าโดยวันนี้แนะนำหุ้นเด่นวันนี้คือ TU จากการออกสินค้าใหม่เป็น Plant-based และจะเน้นผลิตอาหารนวัตกรรมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรและลดความผันผวนจากธุรกิจปัจจุบัน ส่วนทำไร 1064 คาดเพิ่มขึ้น YOY จากยอดขายอาหารทะเลแปรรูปยังเติบโตและอาหารแช่แข็งฟื้นตัว รวมถึงค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องเป็นจิตวิทยาบวกเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 16.5 บาท
ถัดมาเป็น SCC เนื่องจากภาพส่วนต่างปีโตรเคมีในช่วง 1064 ปรับขึ้นแรง ทั้ง HDPE-Naphtha และPP-Naphtha และ ไตรมาส 2064ยังมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาเสริมอีก 11.5% แรงหนุนสำคัญจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่แนวโน้มอุปทานตลาดโลกปีนี้จะเพิ่มขึ้นน้อยลง5.8 % จากปีก่อนที่เพิ่มขึ้น 6.5%เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 430 บาท
ด้านบล.เอเซียพลัส ชู 3 หุ้นเด่น นำโดย BBL (FV @ 154.00) มองสินเชื่อปีนี้ ขยายตัว 3% - 4% yoyขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL)คาดการณ์ลดลงมาที่ 2.2 หมื่นล้านบาท จาก 3.1 หมื่นล้านบาทในปี 63 ถือว่าเข้าสู่เส้นทางของการฟื้นตัวที่แท้จริงสำหรับคุณภาพสินทรัพย์ ธนาคารฯ คาด NPL Ratioณ สิ้นปีนี้จะอยู่ในกรอบไม่เกิน 4.5% จาก 3.9% ณสิ้นปี 63 จากสภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวโดย ธ.พ. มี Coverage Ratio ณ สิ้นงวด 4Q63 ที่181.6% สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 150%แนวโน้มกำไรปี 2564 ฟื้นตัวจากฐานต่ำปีก่อน ด้านราคาหุ้น BBL ยังคง Laggard SETBANK และหุ้นธพ.อื่นๆอยู่มากพอสมควร
ตามติดด้วย SCC (FV @ 450) หุ้นพื้นฐานแกร่ง เป้าหมาย Fund flow คาดว่าแผนการเติบโตที่ชัดเจนของทุกธุรกิจหลักในช่วง 3-5 ปี ข้างหน้า โดยเฉพาะกำลังการผลิตของธุรกิจปิโตรเคมีที่จะเพิ่มขึ้นถึง 70% หลังโครงการ LSP ในเวียดนามเสร็จสิ้นรวมถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจPackaging ภายใต้ SCGP จะช่วยยกฐาน EBITDA ของSCC ให้สูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2553-2563 ที่ทำได้71,030 ล้านบาท มาสู่ระดับ 1 แสนล้านบาทในปี 2566เป็นต้นไปคาดปีนี้กำไรสุทธิอยู่ที่ 3.66 หมื่นล้านบาท (+7.4%YoY)อีกทั้งราคาหุ้นยัง Laggardหุ้นกลุ่มปีโตรฯอย่าง
PTTGC และหุ้นลูกอย่าง SCGP อยู่มาก
ปิดท้ายที่ INTUCH (FV @ 74.00) เป็นหุ้นเด่น เนื่องจากคาดการณ์ว่า ฟื้นตัวได้นับจาก 2H64 จากกำลังซื้อ ทยอยฟื้นตัวและลูกค้า 5G ขณะที่ต้นทุนลงทุน 5G คาดเพิ่มจำกัดจากผลชดเชยงบลงทุน 3G ที่ตัดจ่ายครบ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนอาจสร้าง Upside กำไรได้ ส่วน THCOM คาดกำไร 9M64 คุ้มทุน และอาจมี Upside หากการเปลี่ยนสู่ใบอนุญาตปลายปีราบรื่นได้ Sentiment เชิงบวกจากประเด็น FF Adj MarketCap คาดได้สัดส่วนเพิ่ม 0.46% ในรอบ 2H64 นี้จุดเด่นเรื่องปันผลชัดขึ้น จากอัตราจ่ายปันผลที่สูงขึ้น ADVANC หลังอิงกำไรที่มีผลรายจ่ายทางบัญชีมาตรฐานบัญชี TFRS16 ช่วยให้ INTUCH ส่งต่อปันผลเกินปีละ 4.5% ซึ่งคาดหวังปันผล 2H63 สูงกว่าคาดที่1.35 บาท XD 22 เม.ย. 64 นี้
กลยุทธ์การลงทุน
รายงานข่าวจากบล.ไทยพาณิชย์แจ้งว่า SET ยังพักตัว โดยเคลื่อนไหว sideways ในกรอบ ด้านตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวลง สร้าง Sentiment เชิงลบต่อดัชนีเช้านี้ และราคาน้ำมันที่ปรับลงเป็นลบต่อกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตาม ให้ติดตามกรอบล่างบริเวณ 1,550-1,555 จุด หากไม่ต่ำกว่า มองมีโอกาสรีบาวด์ โดย bond yield สหรัฐ ที่ปรับลง น่าจะช่วยตลาดคลายกังวลได้บ้าง ลดทอนปัจจัยลบดังกล่าว กลยุทธ์ พอร์ตลงทุนหลักรอเข้าซื้อเฟสแรก 25% แถว 1,450-1,470 จุด ส่วนพอร์ตเก็งกำไรให้ Selective Buy หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะเน้น 4 ธีม 1. กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์/ยานยนต์ ได้อานิสงส์อุปสงค์ฟื้นตัว บาทอ่อน HANA ,KCE ,AH 2. หุ้น mid-small cap แนวโน้มกำไร 1Q64 โตเด่น YoY หรือ turnaround STARK, TWPC, SISB ,3. กลุ่มที่ราคา Laggard ได้ประโยชน์ Reopen BEM ,BDMS, BBL ,CPALL 4. กลุ่มอสังหาฯ จะมาบริหาร AMC เป็น new S-Curve SPALI
ทั้งนี้แนะนำ SISB (ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 12.30 บาท) คาดกำไรปีนี้โตเด่น 66%YoY จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น ล่าสุดเตรียมเข้าซื้อกิจการ nursery เข้ามาเสริมธุรกิจ และแนะนำ MINT (ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท) แม้ช่วงสั้นอาจมีความผันผวนจากการ lockdown อีกรอบในยุโรป แต่ยังคงมุมมองฟื้นตัวจากการเร่งฉีดวัคซีน รวมทั้งได้อานิสงส์จากมาตรการภาครัฐ
