ถ้าเฟดเริ่มคุมเข้มนโยบายการเงิน ทองคำจะลงแค่ไหน?
ถ้าเฟดเริ่มคุมเข้มนโยบายการเงิน ทองคำจะลงแค่ไหน? โดย ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง
GOLD BULLISH
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐขนาดใหญ่
- การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ
- ความแพงของตลาดหุ้น
GOLD BEARISH
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเพิ่มขึ้น
- เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น
- แรงเทขายทองคำของกองทุนอีทีเอฟทองคำ
- แนวโน้มราคาทองคำทางด้านเทคนิคเป็นขาลง
ทองคำลดลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 10 เดือน
สัปดาห์ที่แล้วราคาทองคำลดลงหลุด 1,700 ดอลลาร์ ทำจุดต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ปัจจัยหลักที่กดดันต่อราคาทองคำคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากต้นปีอยู่ระดับ 1% เพิ่มขึ้นแตะ 1.62% ทำจุดสูงสุดในรอบ 1 ปี ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมีคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ปัจจัยที่ 2 แรงเทขายทองคำจากกองทุนอีทีเอฟทองคำ ซึ่งในปีนี้กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟทองคำใหญ่ที่สุดในโลกขายทองคำรวมทั้งสิ้น 101 ตัน หลังจากปีที่แล้วเข้าซื้อทองคำ 277 ตัน สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มลดการถือครองทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงจากพอร์ตการลงทุน และปัจจัยสุดท้ายคือราคาทองคำทางปัจจัยด้านเทคนิคเคลื่อนไหวในทิศทางขาลง จะเห็นได้ว่าราคาทองคำปรับลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ราคาทองคำยังไม่สามารถทะลุและยืนเหนือ 1,860 ดอลลาร์ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว 200 วันได้ และต่อมาราคาทองคำทางด้านเทคนิคเกิดสัญญาณ Death Cross โดยเส้นค่าเฉลี่ยทางเทคนิคระยะสั้น 50 วันตัดเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว 200 วันลงมา ทำให้เกิดสัญญาณขายเกิดขึ้น
ราคาทองคำ Spot ลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง
ถ้าเฟดเริ่มคุมเข้มนโยบายการเงิน ทองคำจะลงแค่ไหน
ในช่วงที่สินทรัพย์ทางการเงินโดนแรงเทขายกระหน่ำและลดลงมากๆ ปัจจัยลบต่างๆรุมเร้าเข้ามามากมาย สำหรับปัจจัยที่จะกระทบต่อราคาทองคำทางลบมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้น ที่ผมมองว่าสะท้อนให้เห็นว่าการคาดการณ์ของนักลงทุนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐจะกลับมาฟื้นตัวอยู่ในระดับปกติก่อนเกิดโควิด-19 อีกมุมมองหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการคาดการณ์ของนักลงทุนถึงแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มคุมเข้ม เมื่อย้อนถึงในปี 2013 สมัยที่นายเบน เบอร์นันเก้ เป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐได้มีการส่งสัญญาณถึงการเริ่มลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือมาตรการ QE ในการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็คสัน โฮลล์ ครั้งนั้นทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแตะ 3% กลับมาถึงในช่วงเวลานี้ทำให้อาจจะตีความว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มคุมเข้มนโยบายการเงิน ถึงแม้ว่าประธานธนาคารกลางสหรัฐได้เน้นย้ำว่าถึงความจำเป็นต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป
ในมุมมองของผมคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปในปีนี้ ทั้งอัตราดอกเบี้ยต่ำและมาตรการ QE แต่ในปีหน้าน่าจะเริ่มทยอยถอนมาตรการ QE โดยปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรและตราสารอื่นๆ แล้วคำถามต่อไปที่นักลงทุนอยากทราบคือราคาทองคำจะลดลงหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ในช่วงที่เฟดเริ่มส่งสัญญาณทยอยลดมาตรการ QE ในปี 2013 มีผลให้ราคาทองคำลดลงราว 200 ดอลลาร์ จาก 1,400 ดอลลาร์ เหลือ 1,200 ดอลลาร์ ขณะที่เริ่มดำเนินการทยอยลดมาตรการในปี 2014 ดังนั้นถ้าเฟดเริ่มส่งสัญญาณลดมาตรการ QE คงจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำให้ลดลงอย่างแน่นอน กรณีเลวร้ายสุดราคาทองคำอาจลดลงไปถึง 1,600 ดอลลาร์ แต่เบื้องต้นประเมินไว้ที่ราว 1,670-1,680 ดอลลาร์
สัปดาห์นี้ราคาทองคำมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยมีปัจจัยหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากที่สภาคองเกรสสหรัฐได้ลงมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ ล่าสุดวุฒิสภาสหรัฐได้ลงมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น แต่ผมมองว่าราคาหุ้นในตลาดสหรัฐที่ปรับขึ้นมามาก ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่าตลาดหุ้นเริ่มแพงมากแล้ว ซึ่ง P/E ของ S&P500 ปัจจุบันสูงถึง 39 เท่า ทำให้อาจมีเม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าลงทุนทองคำเพื่อช้อนซื้อเพราะมองว่าราคาทองคำปรับลดลงกว่า 100 ดอลลาร์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับปัจจัยลบยังเป็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเพิ่มขึ้น แรงเทขายทองคำของกองทุนอีทีเอฟทองคำ และแนวโน้มราคาทองคำทางด้านเทคนิคเป็นขาลง
สัปดาห์นี้ทองคำ Spot มีแนวรับ 1,676 ดอลลาร์ และ 1,670 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 1,740 ดอลลาร์ และ 1,760 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 24,200 บาท และ 24,100 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 25,100 บาท และ 25,350 บาท