หุ้นไทยไซด์เวย์ดาวน์ แรงขายต่างชาติ-สถาบันถ่วงตลาด

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway Down คล้ายตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เข้าสู่แดนลบเล็กน้อยเป็นส่วนใหญ่

 รับแรงกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และกองทุนในประเทศที่จะยังขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกดดันหุ้นขนาดใหญ่ โดย MSCI ก็จะมีการปรับพอร์ตลงทุนจะมีผลในวันที่ 25 ก.พ.นี้ ซึ่งจะลดน้ำหนักหุ้นไทย  41 ล้านเหรียญฯ และล่าสุดฟุตซี่ก็ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยลงราว 120 ล้านเหรียญฯ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 19 มี.ค.นี้ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติยังขายอยู่ ประกอบกับ Fund Flow ยังเป็นลักษณะไหลออกจากเอเชียอย่างต่อเนื่อง

สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) สหรัฐฯที่สูงขึ้น โดยเมื่อคืนที่ผ่านมาแตะทำนิวไฮที่ 1.361% ทำให้มีความกังวลเงินเฟ้อจะสูงขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 

ส่วนในประเทศมีปัจจัยการเมืองที่ต้องติดตาม และช่วงหลังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนออกมาไม่ค่อยดี แต่ก็ยังมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นแรง จากความกังวลอากาศเย็นทำให้ปริมาณการผลิตหายไป ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมาที่ 3.8% เมื่อคืนที่ผ่านมา และยังคาดการณ์เศรษฐกิจฟื้นตัวจะทำให้ Demand น้ำมันสูงขึ้นด้วย แต่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศที่ลดลง และศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ มีการผ่อนคลายการคุมเข้มจะเป็นปัจจัยบวกได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม  คืนนี้ให้ติดตามประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะแถลงต่อสภาคองเกรส ซึ่งให้จับตามุมมองทิศทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยประเมินกรอบแนวรับ 1,470-1,466 จุด ส่วนแนวต้าน 1,485-1,493 จุด

 รายงานข่าวจากบล.ไทยพาณิชย์แจ้งว่า  ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสลงต่อจากปัจจัยต่างประเทศและ fund flow ไหลออก แต่จะได้ประเด็นวัคซีนเข้าไทยช่วยประคองโดยพอร์ตหลัก ยังรอสัญญาณการเข้าซื้อรอบใหม่ ส่วนพอร์ตเก็งกำไร selective buy หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและเก็งกำไรด้วยความระมัดระวัง ดังนี้ 1. Global Policy Play เน้นย่อซื้อ EA, PTTEP, PTT, TOP

2. หุ้นเกาะกระแสกัญชา เน้นโรงสกัด  IP, DOD, RBF เทรดดิ้งและกำหนดจุด stop loss 3. หุ้นที่คาดกำไร 4Q63 เติบโตดี 1Q64 สดใส CPF, BAM, TNP, WICE  อย่างไรก็ตาม แนะนำ THREL (ราคาเป้าหมาย 4.10 บาท) กำไร 4Q63 ดีกว่าคาด ส่วนปี 64 ปรับประมาณการฯ ขึ้น คาดกำไรโตกว่า 80%  ทั้งยังมี div.yield สูงกว่า 4%, เก็งกำไร M, ZEN, CPN ได้ประโยชน์ผ่อนคลายมาตรการ และเก็งกำไร KSL จากราคาน้ำตลาดตลาดโลกปรับขึ้นช่วงสั้น

 

ด้านบล.เอเซีย พลัส แนะนำ   CPF ([email protected])  คาดกำไรสุทธิปี 2563-64 จะเติบโต 32.8% yoy และ 4.7% yoy จากธุรกิจสุกรในไทย เวียดนามและจีนเติบโตชัดเจน จากราคาสุกรในไทย จีนและเวียดนามยืนสูงต่อเนื่อง จากปัญหาสุกรขาดแคลนในภูมิภาคเอเชีย กำหนด Fair Value ปี 2563 เท่ากับ 42 บาท อิง PBV 1.7 เท่า ราคาหุ้นมี Valuation สนใจ ที่ PER เพียง 9 เท่า และสามารถคาดหวังปันผลได้กว่า 3% จึงแนะนำซื้อลงทุนระยะกลางถึงยาว

M (FV@B59)การระบาดของ COVID-19 ในไทยมีทิศทางผ่อนคลายขึ้นจากช่วง ธ.ค. 63 หลังจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันล่าสุดลดลงเหลือ 72 คนต่อวัน ในขณะที่ภาครัฐตั้งเป้าหมายการฉีดวัคซีน COVID-19 ให้ครอบคลุม 50% ของประชากรไทย ภายในสิ้นปีนี้ ช่วยลดการเกิด Lock down และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค 

โดยรวมฝ่ายวิจัยเชื่อว่าสถานการณ์ของ M ได้ผ่านจุดเลวร้ายสุดแล้วช่วง ม.ค. 64 ทำให้คาด 1Q64 เป็นจุดต่ำสุดของปี 64 ก่อนงวด 2Q64 จะฟื้นตัวเด่นชัด QoQ และพลิก Turn around เป็นกำไรเมื่อเทียบกับช่วง 2Q63 ด้านกำไรปี 64 ประเมินขยายตัว 69% yoy มากกว่า EPS ตลาดปีนี้ ที่ฝ่ายวิจัยมองไว้เติบโต  38% yoy  แนะนำ ซื้อ ราคาปัจจุบันเป็นจุดทยอยสะสม หลังราคาลงมาซื้อขายที่ PBV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 2 ปีราว 1SD เทียบกับ AU และ ZEN ที่กลับมาซื้อขายในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยฯ แล้ว รวมถึงในธีมเปิดเมืองราคาหุ้น M ยัง Laggard กลุ่มท่องเที่ยว ทั้งที่คาดเห็นการฟื้นตัวของกำไรช่วง 2Q64 และสถานการเงินแข็งแกร่งกว่า ณ สิ้นงวด 3Q63 เป็น Net Cash ราว 6.8 พันล้านบาท

 ปิดท้ยที่ MINT ([email protected]) สัปดาห์นี้ไทยจะเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรก คาดสร้าง Sentiment บวกต่อเศรษฐกิจไทย และการกระจายของวัคซีน COVID-19 ทั่วโลก ตั้งแต่ช่วง ธ.ค. โดยเฉพาะในยุโรป ประกอบกับจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกเริ่มลดลง ช่วยลด Downside ต่อประมาณการ ที่คาดเริ่มเห็นผลขาดทุนต่ำลงตั้งแต่ 2H64 คงแนะนำ ซื้อ ตามธีมวัคซีนยุโรป