KISS โรจูคิส ทำราคาที่ 15.30 บ./หุ้น ยังเหนือจองหลังเปิดเทรดวันแรก
KISS หุ้นไอพีโอโรจูคิส มาแรงทำราคาขายที่ 15.30 บ./หุ้น ยังเหนือจองซื้อจาก 9 บาท หลังจากที่ช่วงเช้าเปิดเทรดวันแรกอยู่ที่ 15 บาท
วันนี้ ( 19 ก.พ.64) หุ้น KISS หรือ บมจ.โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้พัฒนานวัตกรรมและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ Rojukiss,PhDerma,Best Korea,Wonder Herb และ Sis2Sis ได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก โดยช่วงเช้าทันทีที่ KISS เข้าเทรด ราคาเปิดอยู่ที่ 15.00 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท จากราคาจองซื้อที่ 9 บาท ขณะที่ล่าสุด ราคาอยู่ที่ 16.50 บาท/หุ้น
นางวรวรรณ ไชยกำเนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS เชื่อมั่นว่าศักยภาพของบริษัทจะช่วยสนับสนุนให้ KISS เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ด้วยวิสัยทัศน์ ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านความงามและสุขภาพของเอเชียหรือ True Health and Beauty Company ตั้งเป้าหมายมีรายได้แตะ 3,000 ล้านบาท ภายในปี 2567 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณร้อยละ 20 ต่อปี นับจากปี 2562
โดยจากนี้บริษัทมีแผนขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศภายใต้งบ 300 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุน 100 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์และแบรนด์ใหม่ในประเทศไทย อาทิ ผลิตภัณฑ์แชมพูเปลี่ยนสีผมและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ Rojukiss,ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวภายใต้แบรนด์ใหม่ Wonder Herb และจำนวนอีก 100 ล้านบาท จะนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และแบรนด์ สำหรับช่องทางการขายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง (Direct-to-consumer: D2C) ผ่านความร่วมมือกับ บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) และอีก 50 ล้านบาทจะลงทุนพัฒนาดิจิทัลและเทคโนโลยี ช่วยผลักดันการพัฒนาและนำเสนอนวัตกรรมให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง อาทิ Mobile Skin Analysis เครื่องมือวิเคราะห์สภาพผิวของผู้บริโภค เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2560–2562 บริษัทมีอัตราเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 37.9% ต่อปี และกำไรสุทธิขยายตัวเฉลี่ย 81.8% ต่อปี โดยปี 2562 มียอดขายรวม 1,140.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 190.1 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกของปี 2563 ทำยอดขายได้ 730.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 139.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2%โดยในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แบรนด์Rojukissมีส่วนแบ่งการตลาดในไตรมาส 3 ปี 2563 เพิ่มขึ้นจาก 8.8% เป็น 12.5%
โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการจัดจำหน่ายผ่านตลาดออฟไลน์ 99% และ ตลาดออนไลน์ 1% อย่างไรก็ตามภายหลังจากการที่บริษัทมีการรุกตลาดประเทศเพื่อขยายฐานลูกค้า ซึ่งในช่วง 9 เดือน รายได้จากต่างประเทศ อยู่ที่ 10% ภายหลังจากที่เข้าไปรุกตลาดในประเทศอินโดนีเซีย และ ฟิลิปินส์ ตั้งเป้าในอีก 4 ปีข้างหน้า รายได้จะเติบโตในตลาดต่างประเทศ 15-20% นอกจากนี้บริษัทมีแผนในการขยายธุรกิจในประเภทอาหารเสริมเพิ่ม เนื่องจากเห็นโอกาสในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจในการรักษาสุขภาพมากยิ่งขึ้น
