ก่อนอื่นมาดูภาพรวม SMEs ในไทย พบว่า มีจำนวนทั้งหมด 5.2 ล้านราย แบ่งเป็น SMEs ในสำมะโนธุรกิจ 3.1 ล้านราย คิดเป็น 60% SMEs ทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นรายเล็กมาก(SS) 2.6 ล้านราย หรือ 84% โดยเป็นกลุ่มผู้ประกอบการขายปลีก , อาหารและเครื่องดื่ม ,บริการ
ส่วน SMEs นอกสำมะโนธุรกิจ 2.1 ล้านราย คิดเป็น 40% ส่วนใหญ่ เป็น กลุ่มผู้ค้าแผงค้า , หาบเร่ แผงลอย ,กลุ่มออนไลน์ ในลักษณะของการซื้อมาขายไป เป็นร้านค้าขนาดเล็ก ด้วยขนาดของSMEs ที่ยังมีขนาดธุรกิจที่เล็กมาก ทำให้มีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะเงินทุนสำหรับการเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ
จากกราฟ นี้ทำให้เห็นว่า เงินทุนส่วนใหญ่ที่เอสเอ็มอี ที่นำมาใช้เริ่มต้นธุรกิจ มาจากเงินทุนส่วนตัว กู้ยืมญาติพี่น้องและคนสนิท มีสัดส่วนรวมเกือบ 60% ส่วนการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ และธนาคารของรัฐ มีสัดส่วนกว่า 20% เท่านั้น ที่เหลือเป็นเงินทุนจากนายทุน และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร(นอนแบงก์)
สาเหตุที่ SMEs ไม่กู้เงินจากธนาคารมาดำเนินธุรกิจ หรือเปิดธุรกิจ เป็นเพราะไม่อยากเป็นหนี้ มีสัดส่วนกว่า 38% ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน มีสัดส่วนกว่า 20% นอกจากนี้มองว่าการกู้เงินกับธนาคารมีขั้นตอนมาก ,ไม่มีหลักทรัพย์ ไม่มีบุคคลในการค้ำประกัน, กังวลว่าจะไม่ผ่านการพิจารณา, ไม่รู้ว่าจะกู้อย่างไร, มีบางส่วนไปขอกู้เงินเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ผ่านการพิจารณา
เมื่อเริ่มต้นธุรกิจไปในระยะเวลาหนึ่งพบว่า SMEs เริ่มกู้ยืมเงินมาใช้ขยายธุรกิจ มาใช้เป็นสภาพคล่อง หรือกู้เงินเพื่อนำไปใช้จ่ายทั่วไป หรือนำเงินกู้ไปซื้อทรัพย์สิน
ส่วนใหญ่หนี้ของSMEs ในช่วงเปิดดำเนินกิจการ เป็นเงินกู้จากหนี้นอกระบบกว่า 50.70% โดยส่วนใหญ่เป็นการกู้จากนายทุนนอกระบบ และกู้ญาติพี่น้อง
ส่วนหนี้ในระบบมีจำนวน 49.30% มีทั้งกู้จากธนาคารพาณิชย์ ธนาคารรัฐ และนอนแบงก์
ตรงนี้สวนทางกับความต้องการ ที่ส่วนใหญ่SMEsกว่า 97.52% ต้องการกู้ในระบบมากกว่าการกู้นอกระบบ เนื่องจากเงินกู้ในระบบธนาคารจะมีอัตราดอกเบี้ยถูกกว่าเงินกู้นอกระบบ โดยเงินกู้ในระบบจ่ายดอกเบี้ย 5-7% ต่อปี แต่การกู้นอกระบบต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่า 20% ต่อปี
สาเหตุหลักๆ ที่ SMEs ไม่สามารถกู้เงินกับธนาคารได้ ส่วนใหญ่เพราะไม่มีหลักทรัพย์คํ้าประกัน สถานะบัญชีของSMEsยังไม่ดีพอ ยิ่งในช่วงเกิดวิกฤตโควิด-19 ทำให้มีความเปราะบางทั้งกับการทำธุรกิจSMEs ความเปราะบางของหนี้เสียที่ธนาคารผู้ปล่อยสินเชื่อต้องให้ความสำคัญ ยิ่งทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุนSMEs ยากมากขึ้น
แม้ที่ผ่านมารัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือSMEs หลายแสนล้านบาท แต่ SMEs ยังบ่นว่าเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนดังกล่าว
ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ครม.ออกมาตรการดูแลช่วยเหลือเงินทุน SMEs เพิ่มเติมอีก 3 กลุ่ม เป็นเงินกว่า 1.14 แสนล้านบาท (รายละเอียดมาตรการอ่านคร่าวๆ ได้)
1.กลุ่ม SMEs ทั่วไปวงเงินรวม 87,000 ล้านบาท
- สินเชื่อ Soft loan ธนาคารออมสิน วงเงิน 20,000 ล้านบาท ปล่อยสินเชื่อต่อให้ผู้ประกอบการ SMEs วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี
- ค้ำประกันสินเชื่อ PGS Soft loan พลัสวงเงิน 57,000 ล้านบาท โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการกู้เงินจากซอฟท์โลน ธปท. โดยคิดอัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 8 ปี ซึ่ง บสย. จะเริ่มค้ำประกันและเก็บค่าธรรมเนียมในต้นปีที่ 3 ตรงนี้ทำให้SMEs สามารถปกู้เงินกู้ซอฟท์โลน ธปท. ถึง 10 ปี จากเดิม กำหนดไว้เพียง 2 ปี
-โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 8 วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป วงเงินไม่เกิน 20 ล้านต่อราย คิดค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 10 ปี
2.ช่วยเหลือSMEsท่องเที่ยวงเงิน 14,600 ล้านบาท
-. สินเชื่อฟื้นฟูท่องเที่ยวไทยวงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสิน ให้กู้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย ดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี ระยะเวลากู้ 5 ปี ปลอดชำระเงินต้น 1 ปี
-สินเชื่อExtra Cashวงเงิน 9,600 ล้านบาท โดยธนาคารธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ 5 ปี
3.กลุ่ม SMEs รายย่อยและประชาชนวงเงินรวม 12,500 ล้านบาท
- สินเชื่อเสริมพลังฐานรากวงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินปล่อยสิน ปล่อยกู้ให้ประชาชนไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน ระยะเวลากู้ 3 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน
-โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro Entrepreneur ระยะที่ 3 วงเงิน 2,500 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อ คิดอัตราค่าธรรมเนียม 1 – 2% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 10 ปี ขยายเวลารับคำขอค้ำประกันถึง 30 ธันวาคม 2563