แบงก์ชาติ กางข้อมูล “ใครถือตราสารหนี้ภาคเอกชน?”
แบงก์ชาติ กางข้อมูลผู้ถือตราสารหนี้ภาคเอกชน 3.6 ล้านล้านบาท เผยประชาชนลงทุนโดยตรงและทางอ้อมกว่า 70% ขณะที่ต่างประเทศถือเพียง 9,000 ล้านบาท หรือ 0.2% เท่านั้น
ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่าน ซึ่งให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ ออก พ.ร.ก. การสนับสนุนสภาพคล่องเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Stabilization Fund: BSF) หรือเรียกสั้นๆว่า “กองทุน BSF” เพื่อซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชนในตลาดแรก ก็มีเสียงวิพากวิจารณ์ทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งกองทุนนี้
การจัดตั้งกองทุน BSF ถือเป็น “ครั้งแรก” ในประวัติศาสตร์ของแบงก์ชาติที่ทำ “นอกกรอบ” นโยบายการเงิน แต่ “ไม่ใช่” ครั้งแรกของธนาคารกลางในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางญี่ปุ่น เป็นต้น จึงไม่แปลกที่จะมีความเห็นแตกต่าง และมีประเด็นข้อกังวลที่หลากหลายมุมมอง ซึ่งขึ้นอยู่กับชุดข้อมูล และประสบการณ์ของแต่ละฝ่าย
แต่สิ่งที่ทุกฝ่าย “เห็นตรงกัน” คือ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ “ไม่ปกติ” เกิดจากการระบาดของโรคCOVID-19 ที่ส่งผลกระทบรุนแรงในวงกว้าง ทั้งต่อภาคเศรษฐกิจจริง และภาคการเงิน จึงไม่มีใคร “ปฏิเสธ” ว่า นี่คือหน้าที่ของแบงก์ชาติที่จำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อดูแลรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและระบบการเงิน
โดยเฉพาะใน “ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน” หรือ “หุ้นกู้” ซึ่งขณะนี้กลายเป็นแหล่งระดมเงินทุนและแหล่งลงทุนที่สำคัญ และมีขนาดใหญ่หรือมีมูลค่ากว่า 3.6 ล้านล้านบาท หรือ กว่า 20% ของ GDP
ความ "ไม่ปกติ" ที่เกิดขึ้นในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน ที่แบงก์ชาติเริ่มเห็นก็คือ “สัญญาณ” ความเสี่ยงจากการ “ผิดนัดชำระ” ตราสารหนี้ภาคเอกชนเพิ่มสูงขึ้น เพราะรายได้ภาคธุรกิจที่ลดลงจากผลกระทบของ COVID-19 และราคาน้ำมันที่ปรับลงมาก อาจส่งผลให้ "บริษัทไทย" ที่ระดมทุนผ่านตราสารหนี้มีความเสี่ยงผิดนัดชำระสูงขึ้น หรือไม่สามารถออกตราสารหนี้ใหม่ทดแทนตราสารหนี้ที่ครบกำหนดได้ (rollover risk) เนื่องจากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้น้อยลง
ความเสี่ยงดังกล่าว ทำให้แบงก์ชาติเข้าไปดูแลตลาดตราสารหนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามจนกลายเป็น “ความเสี่ยงเชิงระบบ” ด้วยการออกทั้งมาตรการช่วยเหลือ “กองทุนรวม” ที่ได้รับผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องในตลาดการเงิน และการจัดตั้งกองทุน BSF เพื่อ "ป้องกัน" ปัญหาเชิงระบบ
โดยความเสี่ยงที่ตราสารหนี้ภาคเอกชนจะครบกำหนดในปีนี้ จากข้อมูลที่แบงก์ชาติรวบรวม (จากกราฟฟิก) พบว่า ตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ครบกำหนดในปี 2563 ส่วนใหญ่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) ในกลุ่ม A และ BBB
ซึ่งกลุ่มหลัง (BBB) มีความเปราะบางต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ เป็น non-investment grade หากธุรกิจที่ออกตราสารหนี้ดังกล่าวได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่หดตัว
ทั้งนี้ หากความเสี่ยงจากการ “ผิดนัดชำระ” ตราสารหนี้ภาคเอกชนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องรายอื่นในระบบการเงินต่อไป ทั้ง “เจ้าหนี้” ที่อาจได้รับผลกระทบหากธุรกิจซึ่งผิดนัดชำระตราสารหนี้ ผิดนัดในมูลหนี้อื่น (cross default) ด้วย โดยเฉพาะเจ้าหนี้ที่เป็น “ธนาคารพาณิชย์” ตลอดจน “สหกรณ์ออมทรัพย์” บางรายที่ถือครองตราสารหนี้ภาคเอกชนเป็นสัดส่วนสูงของสินทรัพย์ทั้งหมด
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ไปดูกันว่าตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีมูลค่ารวมกว่า 3.6 ล้านล้านบาท มีใครบ้างที่เป็น “เจ้าหนี้” หรือ “ถือครอง” ตราสารหนี้เหล่านี้
จากข้อมูลแบงก์ชาติ ล่าสุด ณ เดือนก.พ. 2563 พบว่า ผู้ที่ถือครองตราสารหนี้ภาคเอกชนมากที่สุดคือประชาชาชน โดยเป็นการลงทุนทางตรง 30.2% และลงทุนทางอ้อม 40.5% รองลงมาเป็นกลุ่มบริษัทประกันชีวิต 15.7% สถาบันการเงิน/ธนาคารพาณิชย์ 7.6% บริษัทและนิติบุคคล 4% ส่วนราชการ 1.8% และนักลงทุนต่างชาติ 0.2% หรือถือครองเป็นมูลค่าเพียง 9 พันล้านบาท
จากภาพรวมการถือครองตราสารหนี้ภาคเอกชน จะเห็นว่า ประชาชนมีสัดส่วนการถือครองมากที่สุดคือกว่า 70% โดยเป็นการถือครองทั้งทางตรงและทางอ้อม
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand