@หุ้นจีนกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สู่เส้นทางแห่งการฟื้นตัว
แม้ว่าจีนกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า นอกเหนือจากปัญหาฟองสบู่แตกในภาคอสังหาฯ ยังมีอีกปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลกำลังแก้อยู่ คือ คนว่างงานเพิ่มขึ้น ในเดือนมิถุนายน อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวที่มีอายุระหว่าง 16 –24 ปี อยู่ที่ระดับ 21.3% เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์
เข้าสู่ไตรมาส 4 โค้งสุดท้ายของปี 2566 กันแล้วนะครับ ถือเป็นช่วงจังหวะเวลาสำคัญๆ ของการปรับพอร์ตลงทุนของผู้จัดการกองทุนทั่วโลกก่อนที่จะหยุดพักร้อนในเดือนธันวาคมกันครับ และแน่นอนว่า “หุ้นจีน” เป็นหนึ่งในการลงทุนที่ตลาดให้ความสนใจมากที่สุดเพราะปีนี้สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนทั่วโลก
ถามว่า แล้ววันนี้ จีนยังลงทุนได้อยู่หรือไม่ เพราะข่าวร้ายเข้ามาไม่หยุดหย่อน!จะยังมีโอกาสให้ลงทุนได้จริงหรือ?
@เศรษฐกิจจีนกำลังจะผ่านจุดต่ำสุด...สะสางปมฟองสบู่อสังหาฯ แตก ถ้ามองภาพรวมเศรษฐกิจจีนตลอดเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงน่าเป็นห่วง ราคาบ้านลดลงตามความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้กวางโจวและเซินเจิ้น ที่ค่อยๆ ลดลง การชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์นี้ เกิดขึ้นท่ามกลางยอดขายบ้านใหม่ที่หดตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.5% ในเดือนสิงหาคม เทียบกับ 7 เดือนที่ผ่านมาของปี 2566 มีอัตราการหดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 0.7%
แต่ในทางกลับกัน ภาคส่วนอื่นๆ ของเศรษฐกิจจีนยังมีการเติบโตเล็กน้อย โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 4.5% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งดีกว่าที่เพิ่มขึ้น 3.7% ในเดือนกรกฎาคม สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นในภาคการผลิตและเหมืองแร่และยอดขายปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน
ที่เติบโตเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 2.5% ในเดือนกรกฎาคม
ด้านการส่งออกน้ำมันดีเซลของจีนพุ่งสูงขึ้นในเดือนสิงหาคม 51.5% จากปีที่แล้วเป็น 1.26 ล้านเมตริกตัน เนื่องจากผู้กลั่นน้ำมันเจอโอกาสสร้างกำไรที่แข็งแกร่ง จากการจัดส่งเชื้อเพลิงไปต่างประเทศ ทำให้การส่งออกดีเซลในช่วง 8 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่เพิ่มขึ้น 197.2%
การส่งออกน้ำมันเบนซินก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน แตะ 23.7% เป็น 1.38 ล้านตันในเดือนสิงหาคม ส่วนความต้องการในประเทศที่คาดว่าจะสูงจนถึงเดือนสิงหาคม เนื่องจากการจราจรบนถนนที่เพิ่มขึ้นตลอดช่วงการเดินทางช่วงฤดูร้อน
นี่อาจเป็นสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่กำลังพยายามปรับตัวเองให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ ล่าสุด ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LRR) ประเภท 1 ปี ลง 0.10% สู่ระดับ 3.45% เพื่อกระตุ้นความต้องการสินเชื่อ ลดต้นทุนการกู้ยืมในภาคธุรกิจ แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 5 ปี ไว้ที่ 4.2% ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์ต่างพาเหรดลดดอกเบี้ยตาม ซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจ ประชาชนรวมถึงรัฐบาลท้องถิ่นที่แบกหนี้อยู่
ส่วนข่าวลบอย่างวิกฤตฟองสบู่ของภาคอสังหาฯ จีน ที่เคยซุกปัญหานี้ไว้ยาวนาน ในที่สุดก็ระเบิดขึ้นแล้ว เมื่อกลางปีที่ผ่านมา
ประเดิมด้วย บริษัท เอเวอร์แกรนด์ ที่ขาดทุนกว่า 8.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ยื่นขอความคุ้มครองล้มละลาย ต่อเนื่องด้วยยักษ์อสังหาฯ อันดับ 3 ของจีน 'บริษัท ซูแนค ที่ประกาศล้มละลาย เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา หลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากเจ้าหนี้ให้เข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้มูลค่า เกือบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (3.5-3.6 แสนล้านบาท)
ส่วน Country Garden Holdings บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อีกแห่ง ในขณะนี้ยังเอาตัวรอดได้อยู่ หลังจากที่สามารถหาเงินมาชำระดอกเบี้ยได้มูลค่า 22.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ยังได้รับการอนุมัติให้ขยายการชำระหนี้พันธบัตรเอกชนมูลค่า 540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งก็ช่วยบรรเทาความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนได้บ้าง แต่ก็เป็นข่าวดีระยะสั้นๆ เท่านั้น
แต่ในระยะข้างหน้า ยังต้องลุ้นกันต่อไป เนื่องจาก Country Garden ยังมีการกู้ยืมจำนวน 108.7 ล้านหยวนที่จะครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือนข้างหน้า และบันทึกผลขาดทุนสุทธิ 48,900 ล้านหยวนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์ของ J.P. Morgan ระบุว่า เมื่อพิจารณาจากข้อมูลการขายที่อ่อนแอ กับความเสี่ยงของการผิดนัดชำระหนี้
และอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในประเทศต่างๆ ยังไม่สามารถช่วยให้ Country Garden ออกจากวิกฤตในครั้งนี้ ท่ามกลางปริมาณคอนโดฯ ที่กำลังก่อสร้างมากกว่า 50 ล้านตึก จะยังมีอีกกี่บริษัทอสังหาฯ ที่รอเวลาระเบิดลูกต่อๆ ไป แม้เศรษฐกิจจะมีสัญญาณเชิงบวกแต่นักวิเคราะห์ยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มของเศรษฐกิจจีนโดยรวม
นักลงทุนต่างจับตาดูท่าทีของรัฐบาล ว่าจะออกนโยบายอะไรมาสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้างหรือไม่
หากดูจากท่าทีของรัฐบาลจีนที่ทำต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีนี้ คือ ปูพรมการ ลดดอกเบี้ย เพื่อลดต้นทุนให้กับหนี้สินของภาคธุรกิจและประชาชน รวมไปถึงรัฐบาลท้องถิ่น และยังดำเนินนโยบายที่มุ่งกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรพัย์ เช่น การลดเงินดาวน์สำหรับผู้ซื้อบ้านครั้งแรก และการอนุญาตให้ธนาคารเจราจาเรื่องสินเชื่อจำนองใหม่ได้ เพื่อลดแรงเสียดทานต่อปัญหาบ้านและคอนโดฯ ล้นตลาด
ล่าสุด ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังได้พยายามเติมสภาพคล่องด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยอยู่ และล่าสุด ยังมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LRR) ประเภท 1 ปี ลง 0.10% สู่ระดับ 3.45% เพื่อกระตุ้นความต้องการสินเชื่อ ลดต้นทุนการกู้ยืมในภาคธุรกิจ แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 5 ปี ไว้ที่ 4.2% ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต่างพาเหรดลดดอกเบี้ยตาม
@ ดึงเกมชิงผู้นำเทคโนโลยีสู้ศึก Trade War
แม้ว่าจีนกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า นอกเหนือจากปัญหาฟองสบู่แตกในภาคอสังหาฯ ยังมีอีกปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลกำลังแก้อยู่ คือ
คนว่างงานเพิ่มขึ้น ในเดือนมิถุนายน อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวที่มีอายุระหว่าง 16 –24 ปี อยู่ที่ระดับ 21.3% เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่อัตราการว่างงานโดยรวมของคนในประเทศยังคงต่ำกว่าที่ระดับ 5%
อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานจีนเริ่มมีปัญหารุนแรงขึ้น เนื่องจากนักศึกษาจีนที่จบใหม่ ไม่มีงานทำจำนวนมาก ทำให้การว่างงานของคนหนุ่มสาวยังคงสูงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3
ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวจะลดลงในช่วงปลายปี ส่วนในระยะยาว วิกฤตการณ์การว่างงานครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ซึ่งต้องติดตามมาตรการแก้ปัญหาของรัฐบาลต่อไป
ปัญหาสุดท้ายเรื่องความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งวันนี้ ปัญหาของทั้งคู่ จีนกับสหรัฐฯ ได้ขยายตัวจากปม Trade War ผ่านการตั้งกำแพงภาษีสินค้าต่างๆ ออกมาสู่ปม Chip War เป็นสงครามไมโครชิประหว่างสหรัฐฯ และจีน เพื่อช่วงชิงเพื่อเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจากแผนเป้าหมายพัฒนาประเทศสู่สังคมนิยมที่ทันสมัยที่สุด จีนพยายามที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของตัวเอง หลังจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนถูกสหรัฐฯ กีดกันจนเป็นปัญหาขัดแย้งและต้องตอบโต้กันต่อเนื่อง
วันนี้ โลกมองว่า จีนมีศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีสูงชนิดหายใจรดต้นคอสหรัฐฯ แล้ว ล่าสุด จีนเพิ่มมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเพิ่มข้อกำหนดการส่งออกแกลเลียม (Gallium) และเจอร์เมเนียม (Germanium) แร่ที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ มีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศไม่ให้สหรัฐฯ มีอำนาจด้านเทคโนโลยีมากเกินไป
การประกาศมาตรการดังกล่าว ผลักดันให้ราคาแกลเลียมพุ่งขึ้นเกือบ 20% ในสหรัฐฯ และยุโรป
ขณะเดียวกัน ถ้าจำกันได้ เมื่อปลายปีที่แล้ว ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ที่ได้รับการเลือกนั่งตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 3 ประกาศไว้ว่า จะให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแบบ Deep Tech (เทคโนโลยีระดับสูงที่มีความซับซ้อนเชิงลึก) เป็นการส่งสัญญาณว่า จีนกำลังสร้างจุดแข็งให้กับตัวเองลดการพึ่งพาจากต่างประเทศและป้องกันคอขวดของเทคโนโลยี
จีนยังตอกย้ำภาพความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ยกระดับคุณภาพของรถยนต์ไฟฟ้า ขึ้นมาแข่งขันทางราคากับรถ EV จากค่ายอื่นๆ หรือประเทศอื่นๆ แล้ว ล่าสุด จีนส่งออกรถยนต์กว่า 2.14 ล้านคัน เพิ่มขึ้นกว่า 76% จากปี 2565 ซึ่งมาจากยอดส่งออกหรือยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีนที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก
และก้าวขึ้นแท่นเป็นผู้นำส่งออกรถ EV แซงญี่ปุ่นแล้ว กลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก
@สแกนหาหุ้นจีนคุณภาพดี ลงทุนด้วยเคล็ด (ไม่ลับ) DCA กับจิตตะ
หุ้นยานยนต์ไฟฟ้าค่ายใหญ่ต้องยกให้กับ BYD ที่เป็นผู้ผลิตรถ EV ชั้นนำในจีน มีข้อมูลระบุว่า ยอดการส่งออกรถ EV เติบโตสูงถึง 1,060% เมื่อเทียบเป็นรายปี ด้วยเงินอุดหนุนจากภาครัฐที่หนุนยอดขาย EV และเครือข่ายการจัดหาแบตเตอรีลิเธียมไอออนภายในประเทศที่แข็งแกร่ง จีนจึงอยู่ในตำแหน่งที่สามารถแข่งขันในการผลิตรถ EV บนเวทีโลก และยังมี Supply Chain อีกจำนวนมากที่พร้อมจะเติบโตตามไป รวมทั้งเตรียมจะซื้อบริษัท Jabil บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สัญชาติสหรัฐฯ ที่อยู่ในประเทศจีน โดยให้บริษัทลูกอย่าง BYD Electronic (BE) เป็นผู้เข้าซื้อ ด้วยมูลค่า 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีเป้าหมายเพื่อขยายฐานลูกค้า กลุ่มผลิตภัณฑ์ และธุรกิจส่วนประกอบสมาร์ตโฟนของ BE ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตที่มีศักยภาพของ Jabil ในภาคส่วนนี้ หากการเจรจาในครั้งนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี ก็อาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ในอุตสหกรรมโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ชนิดต่างๆ ก็ได้
อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนสามารถฝ่ากระแสร้อนจากการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ตลอด ทำให้ผมยังมั่นใจว่าในอนาคต แต่ละย่างก้าวของพญามังกร
จะเห็นศักยภาพการเติบโตที่เพิ่มขึ้นในระยะยาวอยู่ครับ ผมขอย้ำว่า ตอนนี้ จีนกำลังใกล้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และกำลังจะก้าวไปหาแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้วคุณลองถามใจตัวเองว่า หมดเวลากลัว ได้หรือยัง ถ้าคุณมีคำตอบว่า พร้อมเข้าลงทุน ผมอยากแนะนำการลงทุนในช่วงนี้ ขอให้คุณทำการบ้านศึกษาหาข้อมูลใหม่ๆ และทำความเข้าใจการลงทุนอย่างรอบคอบ
ที่สำคัญต้องชั่งน้ำหนักความเสี่ยงกับโอกาสลงทุนของตัวคุณเอง ก่อนจะตัดสินใจลงทุนหุ้นจีน และหากจะให้ดีและชัวร์ ผมแนะนำเลือกหาหุ้นรายตัวดีๆ ของจีนและทะยอยลงทุน ซึ่งคุณสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลหุ้นจีนได้ง่ายๆ ที่ Jitta.com ที่มีการจัดอันดับ (Ranking) ไว้ โดยสามารถเลี่ยงภาคอสังหาฯ และการเงิน แล้วเลือกหุ้นจีนในกลุ่ม Defensive ที่ยังมีการเติบโต หากคุณยังไม่เคยมีหุ้นจีนอยู่เลย และยังไม่มั่นใจจริงๆ ว่าหุ้นจีนจะลงลึกพอที่จะเข้าลงทุนหรือยัง ผมอยากแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนครับ และใช้วิธี DCA (Dollar -Cost Averaging) คือการทยอยการลงทุนเป็นงวดๆ หรือเฉลี่ยเป็นรายเดือนหรือทุก 2 เดือนก็ได้ด้วยเงินจำนวนเท่าๆ กันในช่วงเวลาเดียวกันของทุกงวดนะครับ โดยไม่ต้องสนใจว่าราคาของสินทรัพย์นั้นจะเป็นเท่าไหร่ ซึ่งการลงทุนแบบ DCA จะเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณของสินทรัพย์ให้มากขึ้นเรื่อย เพื่อคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาว
ทั้งนี้หากต้องการศึกษาข้อมูลการลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking หุ้นจีน และหุ้นเทคโนโลยีจีน รวมถึงกองทุนอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ https://jittawealth.com/
สุดท้าย ในการสร้างพอร์ตให้แข็งแกร่ง แนวทางในการกระจายความเสี่ยงการลงทุนที่หลากหลายตลาด จะช่วยสร้างสมดุลให้พอร์ตของคุณได้ในระยะยาว เพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนทบต้นจากเงินลงทุนหลักพัน ... เป็นหลักล้านได้ครับ
แล้วในพอร์ตของคุณมีหุ้นจีนหรือยังเอ่ย
ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
ติดตามข่าวหุ้นและการลงทุนทางไลน์
• Line @TNNWEALTH : https://bit.ly/3tCKmiD
———————————————————————
ติดตาม TNN Wealth ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
• Youtube : https://bit.ly/TNNWealthYoutube
• TikTok : https://bit.ly/TNNWealthTikTok
หรือดูรายการ Live ได้ทาง https://bit.ly/3HmUu4O