TNN online หมดยุคแยกสัตว์เลี้ยง! คอนโดยุคใหม่ เลี้ยงสัตว์ได้เหมือนลูก

TNN ONLINE

Wealth

หมดยุคแยกสัตว์เลี้ยง! คอนโดยุคใหม่ เลี้ยงสัตว์ได้เหมือนลูก

หมดยุคแยกสัตว์เลี้ยง! คอนโดยุคใหม่ เลี้ยงสัตว์ได้เหมือนลูก

ปัจจุบันคอนโดมิเนียมหลายราย มีการสร้างจุดขาย คือการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ รวมทั้ง Pet Humanization จะเป็นเมกะเทรนด์ ที่สำคัญในไทยต่อเนื่องไปในอนาคต

"Pet Humanization" ทั่วไปจะหมายถึงพฤติกรรมการเลี้ยงของเจ้าของที่เลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงของตัวเองเสมือนลูก หรือเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว หรือที่เรียกว่า "Pet Parents" พร้อมทุ่มเท ทั้งเงิน และการเลี้ยงดู จนแทบไม่ต่างจากมนุษย์ ในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยและต่อเนื่อง


ซึ่งจะแตกต่างจาก "เจ้าของสัตว์เลี้ยง" ที่มีทัศนคติต่อสัตว์เลี้ยงของตัวเองว่าเป็นเพียงสัตว์เลี้ยง นั่นคือ จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้เพื่อไว้ใช้งานหรือต้องการประโยชน์บางอย่างจากสัตว์เลี้ยง เช่น เลี้ยงไว้เพื่อเฝ้าบ้าน และมีรูปแบบการเลี้ยงเป็นไปแบบง่าย ๆ


ซึ่งปรากฏการณ์ Pet Humanization จะส่งผลดีกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจสัตว์เลี้ยงซึ่งมีจำนวนมาก ทั้งตลาดส่งออกและตลาดในประเทศไทย นอกจากนี้ บางธุรกิจอาจยังไม่มีในไทย ซึ่งก็อาจเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการอาจมอง Success Case ในต่างประเทศมาประยุกต์และต่อยอดธุรกิจในไทยได้ อาทิ 


1. ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และกลุ่มอาหารเสริม 

มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย ในปี 2564 (ค.ศ.2021) คาดว่าจะอยู่ที่ 40,638 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 60,495 ล้านบาท ในปี 2569 (ค.ศ.2026) หรือมีอัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 8.3% ต่อปี


2. ธุรกิจให้บริการดูแลสัตว์เลี้ยง ได้แก่ การให้บริการโรงแรมหรือที่พักสำหรับสัตว์เลี้ยง การฝึกสัตว์เลี้ยง และการบริการตัดแต่งสำหรับสัตว์เลี้ยง รวมถึงบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงผ่านแอปพลิเคชัน


3. ธุรกิจอุปกรณ์ และเฟอร์นิเจอร์สำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น ปลอกคอ ภาชนะอาหาร บ้านสัตว์ กรง แผ่นรองฉี่สัตว์เลี้ยงและทรายแมว เป็นต้น


4. ธุรกิจคาเฟ่สัตว์เลี้ยง ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์และกลุ่มคนรักสัตว์ได้เป็นอย่างดี โดยผู้เลี้ยงก็สามารถรับประทานอาหารไปพร้อมกับสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ สำหรับกลุ่มคนรักสัตว์แต่อาจจะไม่สามารถเลี้ยงสัตว์เองได้ก็สามารถมานั่งเล่น หรือใช้เวลากับสัตว์เลี้ยงที่ทางคาเฟ่จัดหามาให้ได้


5. ธุรกิจประกันสัตว์เลี้ยง 

ธุรกิจประกันภัยได้เข้ามามีบทบาทในการรับประกันอุบัติเหตุและเจ็บป่วยของสัตว์เลี้ยง เพื่อสร้างความอุ่นใจและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้เลี้ยง 


6. ธุรกิจจัดนิทรรศการและการแสดงสินค้าเพื่อคนรักสัตว์ คาดว่าภายหลังที่การระบาดของโควิด-19 ผ่อนคลาย การจัดงานลักษณะนี้จะกลับมาคึกคักขึ้นอีก โดยในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 มีการงานอีเว้นท์ใหญ่ๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเกิดขึ้นเกือบทุกเดือนตลอดปี และกระจายไปในหัวเมืองใหญ่ในภูมิภาคด้วย 


สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่า ในปี 2562 (ค.ศ. 2019) มีครัวเรือนไทยที่เลี้ยงสุนัขและแมวรวมกันราว 34% ของจำนวนครัวเรือนไทยทั้งประเทศ และเพิ่มขึ้นมาสู่ 37% ของจำนวนครัวเรือนไทยทั้งประเทศในปี 2565 (ค.ศ. 2022)


สะท้อนว่าคนไทยนิยมเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นมาก โดยส่วนหนึ่งมาจากกิจกรรมเลี้ยงสัตว์ช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย ท่ามกลางความจำเป็นในการกักตัวภายในที่อยู่อาศัยในช่วงที่การแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นไปอย่างรุนแรง 


โดยเมกะเทรนด์ Pet Humanization เป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยในไทยปรับกลยุทธ์หันมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เจาะกลุ่มเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง ด้วยการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ด้านการเลี้ยงสัตว์ ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียม


ซึ่งการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่ตอบโจทย์ด้านการเลี้ยงสัตว์ ส่วนใหญ่จะชูจุดขายด้านพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง 


ขณะที่การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมก็มีการชูจุดขายด้านการอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ โดยมีการใช้เฟอร์นิเจอร์ และวัสดุก่อสร้างทั้งภายในและภายนอก ที่สะดวกต่อการทำความสะอาด บำรุงรักษา ทนทานต่อรอยขีดข่วน และกักเก็บเสียงของสัตว์เลี้ยงไม่ให้เล็ดรอด การติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามเฝ้าดูสัตว์เลี้ยงได้ตลอด 24 ชั่วโมง การจัดพื้นที่ส่วนกลาง อย่างทางเดินและสนามหญ้าที่กว้างขวาง รองรับการพาสัตว์เลี้ยงออกไปเดินเล่น และการวิ่งเล่นของสัตว์เลี้ยงได้ ไปจนถึงบริการดูแลและรับฝากสัตว์เลี้ยงภายในโครงการ โดยคอนโดมิเนียมที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ส่วนใหญ่จะมีการกำหนดจำนวน ขนาด และน้ำหนักตัวของสัตว์เลี้ยง รวมถึงเจ้าของสัตว์เลี้ยงอาจต้องจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนกลางเพิ่มเติมอีกด้วย


ซึ่ง SCB EIC มองว่า Pet Humanization จะยังคงเป็นเมกะเทรนด์ที่สำคัญในไทยต่อเนื่องไปในอนาคต โดยมีปัจจัยหนุนทั้งแนวโน้มประชากร Gen Z, Gen Y และประชากรผู้สูงอายุที่นิยมเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนแก้เหงา รวมถึงแนวโน้มครอบครัวขนาดเล็กที่มีบุตรน้อยลงหรือไม่มีบุตร ซึ่งนิยมเลี้ยงสัตว์เช่นกัน ประกอบกับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้มีมากขึ้น ส่งผลให้ข้อจำกัดด้านขนาดหรือลักษณะของที่อยู่อาศัยสำหรับการเลี้ยงสัตว์มีแนวโน้มลดลงในอนาคต 


โดยกลยุทธ์สำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบอาจอยู่ในรูปแบบการนำเสนอที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่สำหรับต่อเติมห้องในกรณีที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต้องการห้องสำหรับสัตว์เลี้ยง 


ขณะที่กลยุทธ์สำหรับการพัฒนาคอนโดมิเนียมอาจชูจุดขายด้านการออกแบบห้องที่มีอากาศหมุนเวียนถ่ายเทได้ดี เพื่อสุขอนามัยที่ดีสำหรับผู้อยู่อาศัยและสัตว์เลี้ยง 


นอกจากนี้ การนำ Proptech มาช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเลี้ยงสัตว์ก็จะเป็นการสร้างความแตกต่างและความคุ้มค่าในสายตาผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติ ทั้งแสงสว่างและอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อสัตว์เลี้ยง การตั้งเวลาการให้อาหารและน้ำ ไปจนถึงระบบเตือนภัยที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงภายในที่อยู่อาศัย 


ซึ่ง SCB EIC มองว่า ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ด้านการเลี้ยงสัตว์ อยู่ที่ความเข้าใจ Insight ของผู้เลี้ยงสัตว์ เพื่อนำมาสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยและพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยสำหรับผู้อยู่อาศัยและสัตว์เลี้ยงได้จริง รวมถึงการคัดเลือกพันธมิตรผู้ให้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงมาให้บริการภายในโครงการที่ต้องได้มาตรฐาน เช่น Pet shop บริการดูแลรับฝากสัตว์เลี้ยง คลินิกและโรงพยาบาลสำหรับสัตว์เลี้ยง


นอกจากนี้ การออกแบบที่อยู่อาศัยและพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงการบริหารจัดการโครงการที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ได้ทั้งผู้ที่เลี้ยงสัตว์ และผู้ที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่รบกวนกัน จะนำมาซึ่งการสร้างจุดแข็งให้กับแบรนด์ของผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ด้านการเลี้ยงสัตว์ ท่ามกลางเมกะเทรนด์ Pet Humanization ได้ในระยะต่อไป 



ที่มาข้อมูล : TNN ONLINE

ที่มาภาพ : TNN

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง