TNN online “รถยนต์ไฟฟ้าไทย”เพิ่มเท่าตัว สถานีชาร์จโตตามแต่ไม่ง่าย!

TNN ONLINE

Wealth

“รถยนต์ไฟฟ้าไทย”เพิ่มเท่าตัว สถานีชาร์จโตตามแต่ไม่ง่าย!

“รถยนต์ไฟฟ้าไทย”เพิ่มเท่าตัว สถานีชาร์จโตตามแต่ไม่ง่าย!

หลายธุรกิจเริ่มเล็งเข้าสู่ตลาดสถานีชาร์จไฟฟ้า หรือ EV Charger สอดคล้องกับยอดจำหน่ายและยอดการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในไทย แต่สถานีชาร์จพลังงานอาจมีไม่เพียงพอ

ข้อมูลจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย รายงานสถานการณ์ยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยประจำปี 2565 ว่า ภาพรวมการจดทะเบียนของยานยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ 96,182 คัน 


ซึ่งสอดคล้องกับศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics เปิดเผยบทวิเคราะห์ระบุว่า ปัจจุบันตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ทั่วโลก เติบโตก้าวกระโดด โดยได้แรงหนุนจากความต้องการผู้บริโภคตามกระแสความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีแนวโน้มเปลี่ยนผ่านจากระยะบุกเบิกไปสู่ระยะขยายตัวอย่างรวดเร็ว


ส่วนตลาดรถ EV ในไทยยังเติบโตสูง หลังค่ายผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ระดับโลกจากจีน ยุโรป และญี่ปุ่น ต่างเปิดตัวรถ EV ในไทย พร้อมเดินหน้าลงทุนผลิตในประเทศ เพื่อขานรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ


และคาดการณ์ว่า บริษัทผู้ผลิตจะดันตลาดรถ EV ทั่วโลกติบโตเต็มที่ในปี 2573 (หรือภายใน 8 ปีนับจากนี้) หลังหลายประเทศดันมาตรการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมออกมาตรการสนับสนุนการใช้รถ EV ซึ่งกระตุ้นให้ค่ายผู้ผลิตดั้งเดิมต่างเร่งปรับแผนธุรกิจครั้งใหญ่ เพื่อมุ่งสู่ยานยนต์ไร้มลพิษ หรือ ZEV (Zero Emissions Vehicle) ได้เร็วขึ้นกว่าที่คาดไว้


ขณะเดียวกัน บริษัทผู้ผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดได้ง่ายกว่าในอดีตมาก จนเกิดการผลิตรถ EV จากผู้ผลิตรายใหม่ออกมาต่อเนื่อง เนื่องจากโครงสร้างของห่วงโซ่การผลิตสั้นลงและชิ้นส่วนการผลิตน้อยลงกว่ามาก เมื่อเทียบกับการผลิตยานยนต์เครื่องยนต์สันดาป ทำให้ผู้ผลิตสามารถควบคุมสายพานการผลิตในระดับ Mass Production ได้ไม่ยากนัก


แม้ปัจจุบัน ผู้บริโภคส่วนหนึ่งอาจมองว่ารถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นเพียงตัวเลือกลำดับรอง เนื่องจากความกังวลเรื่องระยะในการวิ่ง และความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ แต่หากตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้าในประเทศเข้าสู่ช่วงที่เติบโตเต็มที่ จะทำให้ผู้บริโภคพิจารณาใช้รถยนต์นั่งไฟฟ้าเร็วขึ้น และจะทำให้ยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปและไฮบริดถูกลดบทบาทในที่สุด 


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ในปี 2568 ไทยต้องสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 1 หมื่น 9 พันช่อง ถึงจะเพียงพอต่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่แตะระดับ 3 แสนคัน แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ หรือ BEV กว่า 180,000 คัน โดยอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล 122,000 คัน และต่างจังหวัดอีก 58,000 คัน 


ทั้งนี้ต้องประเมินว่าช่องจอดเพื่อชาร์จไฟจะน้อยหรือมากเกินไป เมื่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แบบเสียบปลั๊กยังเป็นเรื่องใหม่ในไทย และผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ยุคบุกเบิกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่จะติดตั้ง Wall Charger ส่วนตัวในที่พักอาศัย เพราะความกังวลเรื่องระยะเวลาในการชาร์จและความไม่เพียงพอของจุดชาร์จนอกบ้าน ทำให้จำนวนช่องจอดสำหรับชาร์จไฟในโลกธุรกิจอาจมีจำนวนต่ำกว่าที่มองว่าควรจะมีได้ 


โดยแนวทางหนึ่งที่อาจช่วยลดความเสี่ยงได้บ้าง คือ การพิจารณาสัดส่วนจำนวนช่องจอดเพื่อชาร์จไฟในจุดชาร์จสาธารณะไม่ให้เกินร้อยละ 2.7 ของจำนวนพื้นที่จอดรถได้ทั้งหมดในบริเวณนั้น 


ส่วนในต่างจังหวัด ความคุ้มค่าในการลงทุนหรือจำนวนรถยนต์ที่จะเข้าชาร์จไฟ อาจมีน้อยมาก การใช้ Wall Charger อาจประหยัดกว่า การลงจุดชาร์จสาธารณะจึงทำได้แค่เฉพาะในหัวเมืองใหญ่และตามเส้นทางหลวงสำหรับการสัญจรระหว่างจังหวัด เพื่อเน้นรองรับรถยนต์ที่เดินทางท่องเที่ยวออกต่างจังหวัด ซึ่งก็จะมีจำนวนไม่มากในเวลาปกติ และมีมากเฉพาะช่วงเวลาเทศกาล


ซึ่งภาครัฐอาจต้องให้การสนับสนุนมากขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการมีกำลังในการลงทุนในช่วงบุกเบิกตลาดรถยนต์รถยนต์ไฟฟ้า แบบเสียบปลั๊กในประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด และต้องเลือกประเภทของเครื่องชาร์จที่เหมาะสมกับพื้นที่ด้วย เพราะมีผลต่อต้นทุนโดยตรง เช่น เครื่องชาร์จแบบ AC หรือ Normal Charge ซึ่งใช้เวลานานแต่ราคาติดตั้งถูกกว่าอาจเหมาะกับพื้นที่ที่ผู้เข้าใช้บริการจะสามารถอยู่ในบริเวณนั้นเป็นเวลานานได้ โดยเป็นการแวะชาร์จก่อนเดินทางกลับที่พัก 


ขณะที่เครื่องชาร์จแบบ DC หรือ Fast Charge ที่มีราคาติดตั้งแพงกว่า จะเหมาะกับการลงในสถานีชาร์จเฉพาะบนแนวเส้นทางหลวงเพื่อใช้ในการเดินทางออกต่างจังหวัดที่มีระยะไกลขึ้นและต้องการความรวดเร็วในการชาร์จ หรือในอู่จอดรถขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ หรือรถแท็กซี่ ซึ่งต้องการทำเวลาในการชาร์จไฟให้เต็มเพื่อออกไปวิ่งรถต่อ 


ที่มาข้อมูล : TNN ONLINE

ที่มาภาพ : TNN

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง