TNN online ทำไมธนาคารกลางอังกฤษต้องกลับลำมาทำคิวอี

TNN ONLINE

Wealth

ทำไมธนาคารกลางอังกฤษต้องกลับลำมาทำคิวอี

ทำไมธนาคารกลางอังกฤษต้องกลับลำมาทำคิวอี

เซอร์ไพรส์ตลาดหลังธนาคารกลางอังกฤษประกาศซื้อพันธบัตรระยะยาว เกิดอะไรขึ้นกับระบบการเงิน ทำไมธนาคารกลางอังกฤษต้องกลับลำมาทำ คิวอี โดย ดร. กำพล อดิเรกสมบัติ SCB Chief Investment Office

เซอร์ไพรส์ตลาดเมื่อธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England: BOE) กลายเป็นธนาคารกลางแรกที่ต้องกลับลำมาทำการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล (Quantita tive Easing: QE)  โดยประกาศเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาว เพื่อช่วยกดอัตราผลตอบแทน (bond yield) ลง และช่วยรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน หลังจากที่ รัฐบาลใหม่ได้มีการแถลงนโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาษีขนาดใหญ่ (4.5 หมื่นล้านปอนด์) ในขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษได้มีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการกับเงินเฟ้อ


ทั้งนี้ ถ้าเทียบเศรษฐกิจอังกฤษเป็นรถยนต์ ก็เรียกได้ว่าช่วงก่อนหน้าคนขับรถเหยียบทั้งเบรก (ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง) และใช้เบรกมือ (ทำ Quantitative tightening: QT) เพื่อชะลอความร้อนแรงของเงินเฟ้อ แต่อยู่ดีๆ มีคนขับคนที่สองยื่นขามาเหยียบคันเร่ง หลายคนตะโกนบอกว่าอย่าเพิ่งเหยียบคันเร่ง (หนึ่งในนั้นคือ IMF) แต่คนขับคนที่สองไม่ฟังและยังเหยียบต่อ  ระบบในรถก็เลยรวนไปหมด รวนหนักขนาดที่เครื่องจักรบางเครื่องส่งสัญญาณกำลังจะระเบิด เครื่องจักรเครื่องนั้นก็คือ กองทุนบำเหน็จบำนาญ (Pension funds) ของ อังกฤษซึ่งถูกกระทบจากดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรขาขึ้นอย่างรวดเร็ว 



สำหรับกองทุนบำเหน็จบำนาญจะมีเงินเข้ามาสมทบจากสมาชิกทุกเดือน (เงินออมของสมาชิก) เงินส่วนนี้อยู่ฝั่งสินทรัพย์ (Asset) ของกองทุน และมีเงินที่กองทุนต้องจ่ายให้กับสมาชิกกองทุนในอนาคต (ผลประโยชน์ของสมาชิก) ส่วนนี้ คือฝั่งหนี้สิน (Liability) หน้าที่ของกองทุนบำเหน็จบำนาญหลักๆ คือนำเงินสมทบที่ได้ไปลงทุน เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ (เงินต้น + ผลตอบแทนการลงทุน) เพื่อให้เพียงพอที่จะนำมาคืนสมาชิก กองทุนบำเหน็จบำนาญเหล่านี้ มีหน่วยงานกำกับอยู่ 


โดยหนึ่งในเงื่อนไขที่หน่วยงานกำกับใช้ประเมินกองทุนฯ ก็คือดูว่า Asset-Liability = Funding position มีเพียงพอหรือไม่ แต่เนื่องจาก Liability ของกองทุน เป็นสิ่งที่จะต้องจ่ายในอนาคต ดังนั้นจึงจะแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของ อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และความยืนยาวของอายุสมาชิก ที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า ทำให้ Liability ของกองทุนมีความผันผวน และทำให้ Funding position ผันผวนไปด้วย 


The L-word for Liability Driven Investment  

เพื่อจัดการปัญหาความผันผวนของ Liability ที่กระทบกับ Funding position กองทุนบำเหน็จบำนาญ (โดยเฉพาะกองทุนฯ แบบ Defined benefit ที่ระบุชัดเจนในสัญญาว่าจะต้องจ่ายผลประโยชน์ให้กับสมาชิก ที่แม้ liability ของกองทุนฯ อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนพันธบัตร แต่มูลค่าปัจจุบัน (present value) ของ liability ก็มีการเปลี่ยนแปลงตามการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนพันธบัตร) 


 ได้มีการนำเอา hedging strategy มาใช้ โดยใช้ทั้งพันธบัตร (อังกฤษเรียกพันธบัตรรัฐบาลว่า Gilts)  และตราสารอนุพันธ์ (derivative) ที่เรียกว่า Interest Rate Swap (IRS) เข้ามาช่วยเพื่อลดความผันผวนของ Liability โดยกลยุทธ์ ที่ทำแบบนี้เรียกว่า Liability Driven Investment (LDI) 


สำหรับ IRS ที่ถูกนำมาใช้ส่วนใหญ่กองทุนบำเหน็จบำนาญจะซื้อดอกเบี้ยแบบคงที่ (fixed) เพื่อลดความผันผวน และยอมจ่ายดอกเบี้ยแบบ float ด้วยวิธีนี้ ซึ่งจะช่วยให้กองทุนฯ สามารถ matching หนี้สินและสินทรัพย์ของกองทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกลยุทธ์นี้เป็นที่นิยมมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ตัวเลขล่าสุด มีมูลค่าการใช้กลยุทธ์แบบนี้สูงถึง 1.5 ล้านล้านปอนด์ หรือประมาณ 2/3 ของ GDP ของ UK


Another Big L-word for Leverage ในการทำ LDI ขึ้นชื่อว่าเป็น Derivative (อนุพันธ์) คุณสมบัติหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เพิ่มคือการ Leverage กล่าวคือกองทุนบำเหน็จบำนาญ ไม่ได้จำเป็นต้องนำเอาสินทรัพย์ทั้งหมดไปใช้เป็นหลักประกันในการที่จะลดความผันผวนของ Liability  แต่สามารถนำเอาเงินแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งไปใช้ก็ได้ เพื่อใช้เป็นหลักประกัน (Collateral) แล้วใช้การ Leverage เพื่อให้วงเงินครอบคลุมตามที่กองทุนฯ เห็นสมควร โดยการทำ Leverage Interest Rate Swap  เป็นกลยุทธ์ที่กองทุนฯ ในอังกฤษใช้กันอย่างแพร่หลาย ส่วนการ Leverage ก็สามารถทำได้ตั้งแต่ 1-7 เท่า 


โดยหลักประกันที่นิยมใช้ ก็คือพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว โดยเมื่อไหร่ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเด้งขึ้น (rising bond yield) หรือราคาพันธบัตรลดลงจนมูลค่าหลักประกันที่วางไว้ต่ำกว่าระดับที่กำหนด ก็จะมีการต้องเติมเงิน คล้ายกับโดน margin call นั่นเอง 


Vicious cycle:  Bond yield เด้ง >> มูลค่าหลักประกันลด >> margin calls >> กองทุนต้องขาย Bond ออกมา >> Bond yield เด้ง


วงจรแห่งหายนะล่าสุดที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อธนาคารอังกฤษขึ้นดอกเบี้ยเพื่อขจัดเงินเฟ้อ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวในอังกฤษเร่งตัวขึ้น และเร่งตัวขึ้นมากกว่าเดิมและเร็วกว่าเดิมเมื่อรัฐบาลอังกฤษออกมาส่งสัญญาณจะทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาษี ซึ่งยิ่งจะทำให้มีอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นหรือลงช้า เมื่อเทียบกับประเทศที่ไม่ได้ทำมาตรการกระตุ้น 


อัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็เลยวิ่งขึ้นไปอีก สิ่งที่เกิดขึ้นกับกองทุนบำเหน็จบำนาญ ก็คือการต้องเติมเงินเพราะถูก margin call จากสถานะที่เปิดไว้ใน IRS ภายใต้ LDI เนื่องจาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เร่งขึ้น หมายถึงมูลค่าของหลักประกัน (พันธบัตรระยะยาว)ที่ลดลง 


ซึ่งในบางกรณีที่เติมเงินไม่ทันก็จะถูกยึดและถูกเทขายออกมา ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก กลายเป็นวงจรแห่งความหายนะ ซึ่งหากวงจรนี้เกิดขึ้นต่อไป หลายๆ กองทุนบำเหน็จบำนาญอาจถึงขึ้นล้มละลายได้ เนื่องจาก Leverage ที่ทำไว้มีขนาดใหญ่มาก โดยมีรายงานว่าผู้บริหารกองทุนฯ ขนาดใหญ่ได้มีการเรียกร้องให้ Bank of England เข้ามาช่วยซื้อพันธบัตรตั้งช่วงปลายสัปดาห์ 20-23 กันยายน 


The BOE’s QE return  หลังจากเพิ่งจบโครงการ QE รอบที่ทำช่วงวิกฤต COVID-19 เมื่อปลายปี 2021 ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบจาก Vicious cycle จากกองทุนบำเหน็จบำนาญที่มีต่อตลาดพันธบัตรอังกฤษ ทำให้ในวันที่ 28 กันยายน ธนาคารกลางอังกฤษต้องเข้ามาช่วยจัดการด้วยการประกาศว่าจะเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวโดยใช้วงเงินทั้งหมด 6.5 หมื่นล้านปอนด์ (ซื้อวันละ 5 พันล้านปอนด์ 13 วันทำการ) และจะหยุดขายพันธบัตรรัฐบาลเป็นการชั่วคราวด้วย เรียกว่าทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้น โดยล่าสุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของอังกฤษได้ลดลงจากเกือบ 4.5% (ณ วันที่ 27 กันยายน 2565)  ลงมาเหลือประมาณ 4.0% (ณ วันที่ 30 กันยายน 2565)  


บทเรียนสำคัญ: Policy Coordination sooner rather than later 

ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับพายุหลายลูก ทั้งเงินเฟ้อ เศรษฐกิจชะลอตัวและกำลังมีความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศ รวมถึงตลาดการเงินโลกกำลังผันผวน นักลงทุนทั่วโลกสับสนและตกใจง่าย การทำนโยบายการเงินและการคลังที่สอดประสานกัน ไม่สร้างความสับสนให้ตลาดเพิ่มเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ บทเรียนจากอังกฤษ น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญให้กับ Policy makers ในหลายๆ ประเทศรวมทั้งบ้านเราได้เป็นอย่างดีครับ พูดง่ายๆ จะทำอะไรต้องดูตาม้าตาเรือ กาลเทศะ ให้ครบถ้วน เรื่องไหนยังไม่รู้จริงว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร ก็อย่าเพิ่งรีบพูดรีบทำ 


อีกบทเรียนหนึ่งที่ผมมองว่าน่าจะสำคัญกับนักลงทุนที่ค่อนข้างกังวลเรื่อง เศรษฐกิจถดถอย หรือวิกฤตต่างๆ ที่จะตามมาก็คือเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้กู้วิกฤตที่เพิ่งถูกหยุดมาตรการไป ถ้าถึงยามจำเป็น ธนาคารกลาง หรือรัฐบาล ยังพร้อมนำกลับมาใช้ได้ ผมไม่ได้บอกว่าไม่ต้องกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยนะครับ แต่อยากจะให้ข้อมูลว่าเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ยังมีอยู่ อยู่ที่ถึงคราวจำเป็นหรือยังที่จะถูกนำมาใช้ และใช้อย่างไร เพราะการใช้เครื่องมือในแต่ละครั้งมีต้นทุนเสมอ 


ที่มา  ดร. กำพล อดิเรกสมบัติSCB Chief Investment Office 

ภาพประกอบ  AFP

 



ข่าวแนะนำ