TNN online แนะช้อป 3 หุ้นเด่นอสังหาฯเข้าพอร์ต ลุ้นผลตอบแทนหลายเด้ง

TNN ONLINE

Wealth

แนะช้อป 3 หุ้นเด่นอสังหาฯเข้าพอร์ต ลุ้นผลตอบแทนหลายเด้ง

แนะช้อป 3 หุ้นเด่นอสังหาฯเข้าพอร์ต ลุ้นผลตอบแทนหลายเด้ง

โบรกมองตลาดบ้านแนวราบบูมต่อเนื่องผลพวงโควิดหนุน ส่วนแนวสูงเริ่มมีสัญญาณฟื้นหลังรัฐเปิดประเทศ ระวัง !ดาวน์ไซด์จากปัญหาผู้รับเหมาขาดแคลน ชู 3 หุ้นเด่นน่าเก็บเข้าพอร์ตผลตอบแทนแจ่ม

 

นายจารุชาติ บูชาชาติ นักกลยุทธ์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)   เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีคาดว่ายังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะบ้านแนวราบ หลังจากที่เกิดโควิดพบว่าผู้คนวิตกกังวลให้ความสำคัญการเว้นระยะห่างทางสังคม(social distancing) ทำให้ความต้องการบ้านแนวราบยังสูงเห็นได้จากผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการใหม่กันคึกคัก  เช่น บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)หรือ AP และ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เป็นต้น


นอกจากนี้จากการประกาศงบไตรมาส 1/65 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ที่เน้นบ้านแนวราบส่วนใหญ่รายได้ก็ยังเติบโตทำให้ในไตรมาส 2/65 โครงการเปิดใหม่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมากแต่ที่ต้องระวังและเป็นดาวน์ไซด์คือ ผู้รับเหมาก่อสร้างอาจไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด หลังจากที่โครงการอั้นมานาน 


ด้านวัสดุก่อสร้างที่ปรับราคาเพิ่มขึ้นเชื่อว่าไม่กระทบมากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการมีการล็อกต้นทุนสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างมาก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าเกิดผลกระทบจริงน่าจะเกิดในปีหน้ามากกว่า


สำหรับกรณีที่รัฐบาลเปิดประเทศทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดขายฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 20-30% เมื่อเทียบกับช่วง pre-covid ซึ่งตลาดคอนโดมิเนียมยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยในไตรมาส1/65 ที่ผ่านมาเห็นยอดพรีเซลเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี คาดว่าจะเริ่มทยอยฟื้นตัวจริงในต้นปีหน้า

 

ขณะเดียวกันปัญหาหนี้เอ็นพีแอลที่ปรับตัวสูงขึ้นจากภาระหนี้ครัวเรือนและทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในปี 66 อาจจะกระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องต้องติดตามใกล้ชิด  อย่างไรก็ตามหลังจากที่รัฐผ่อนเกณฑ์แอลทีวีทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อดีขึ้น ส่วนการปฏิเสธสินเชื่อ(Rejection Rate)นั้นทรงตัว แต่ที่พบจะเป็นโครงการที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท


สำหรับทิศทางการลงทุนเน้นแนวโน้มงบไตรมาส 2 เติบโต ชื่นชอบ 2 หุ้นเด่นคือ  AP   แนะนำ “ซื้อ” ราคา เหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 13.00 บาทต่อหุ้น (อิง PER1H65 ที่ 8.1x เทียบเท่า +1.0SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของบริษัท)  


เนื่องจาก 1Q65 อยู่ที่ 1.7 พันลบ. (+74.0% QoQ, +33.1% YoY) ดีกว่าที่เราและตลาดคาดราว 7% นอกจากนี้ยอด Presale 1Q65 ที่เป็นจุดสูงสุดรายไตรมาส

 

สะท้อนอุปสงค์แนวราบที่ยังแข็งแกร่งขณะที่อุปสงค์โครงการแนวสูงเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างนัยสำคัญจากแรงหนุนของกำลังซื้อต่างชาติ และแผนเปิดตัวโครงการใหม่ที่ 65 โครงการคิดเป็นมูลค่ากว่า 7.8 หมื่นลบ. เติบโต   246% YoY ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการยกฐานกำไรเหนือ 5.0 พันลบ.ตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป และปี 66 กำไรอยู่ที่ 5.4 พันลบ.


ด้านความเสี่ยงสำคัญได้แก่ 1. การแข่งขันที่สูงขึ้นกว่าคาดการณ์ของตลาดแนวราบในปี2565/66  2. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศ และ3. อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงกว่าคาดการณ์


หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ BRI “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 65 ที่ 14.60 บาท/หุ้น (อิง PER2565 เท่าเดิมที่11.5x) และเลือกให้เป็น Top Pick ของกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง-เล็ก โดยเรามองว่าบริษัทควรซื้อขายบน PER ที่เป็น Premium เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม จากอัตราการเติบโตที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มสำหรับช่วงปี2565/66 พร้อมคาดเงินปันผลสำหรับปี 2565/66 ที่ 0.51 บาท/หุ้น และ 0.73 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่สูงถึง 5.0% และ 7.2X% ตามลำดับ


อย่างไรก็ตาม การประกาศงบ 1Q65 กำไรที่ 352 ลบ.  (+134.7% QoQ, +169.7% YoY)ทำNew High สูงกว่าที่เราและตลาดคาดอย่างมีนัยสำคัญกว่า 13% และ 26% ตามลำดับดังนั้นคาดว่า 2Q65 เติบโตต่อเนื่อง

  

ส่วนหุ้นที่รับเปิดประเทศชื่นชอบ LH แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้น 1H65 ที่ 10.20 บาท/หุ้น (อิงวิธีSOTP) คาด ยอดโอนกรรมสิทธิ์จะทยอยฟื้นตัว

ขึ้นในช่วงที่เหลือของปีจากแผนเปิดตัวโครงการแนวราบที่หนาแน่นในปี 2565 ขณะที่อุปสงค์โครงการแนวสูงและรายได้จากธุรกิจโรงแรม/ห้างสรรพสินค้าจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วง 2Q65 เป็นต้นไปหลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง


นอกจากนี้เราคาดผลประกอบการของธุรกิจร่วมค้าจะฟื้นตัวเด่น 21.0% YoY เป็น 2.8 พันลบ. ในปี 65 จากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับปี  64  เราคงประมาณการกำไรปกติปี  65/66 ที่ 7.3 พันลบ. (+7.0% YoY) และ 8.3 พันลบ. (+14.3% YoY) ตามลำดับ 

 

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ต้องระมัดระวังจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้านทั้งเงินเฟ้อ ปมขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน  การแพร่ระบาดโควิดในจีน ดังนั้นการที่ดัชนีจะขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,700 จุดมีสัดส่วนไม่ถึง 10%  การลงทุนต้องเลือกหุ้นที่PE ต่ำ Valuation ยังไม่แพง เน้นหุ้น defensive และมีปันผลรองรับ


ที่มา   นายจารุชาติ บูชาชาติ นักกลยุทธ์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)  

ภาพประกอบ   บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ,บริทาเนีย

ข่าวแนะนำ